โควิด-19 รอบสัปดาห์ไทยขยับขึ้น-ศูนย์จีโนมคาดปีหน้า“Flip mutation”เป็นสายพันธุ์หลัก
สถานการณ์โควิด-19 รอบสัปดาห์ที่ 42 เพิ่มขึ้นเล็กน้อย พบยอดผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่ม 206 คน เสียชีวิต 2 คน ต่อสัปดาห์ ด้าน ศูนย์จีโนมทางการแพทย์คาดสายพันธุ์หลักที่จะระบาดไปทั่วโลกในปี 2567 จะเป็นโอมิครอนกลุ่ม “Flip mutation”ที่สามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนรุ่นใหม่
กรมควบคุมโรค รายงานสถานการณ์โควิด-19 รายสัปดาห์ ระบุว่า ข้อมูลของสัปดาห์ที่ 42 ระหว่าง 22-28 ตุลาคม 2566 มีจำนวนผู้ป่วยรายใหม่รักษาในโรงพยาบาล 206 ราย เฉลี่ยรายวัน 29 รายต่อวัน ป่วยสะสมตั้งแต่ต้นปี 2566 อยู่ที่ 34,207ราย ขณะที่ผู้ป่วยหนักปอดอักเสบพบรายงาน 63 รายและผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ 43 ราย ด้านผู้เสียชีวิต 2 ต่อสัปดาห์ เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ต้นปี 2566 อยู่ที่ 818 ราย
โควิด-19 รอบสัปดาห์ไทยพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
แพทย์เผย ติดเชื้อโควิด19 พร้อมกับไข้หวัดใหญ่มีความเป็นไปได้
สำหรับจำนวนผู้ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ยังไม่พบการรายงานว่ามีผู้เข้ารับวัคซีนเพิ่มเติม โดยในปัจจุบันฉีดวัคซีนสะสม 144,951,341 โดส แบ่งเป็น วัคซีนเข็มที่ 1 จำนวน 57,233,919 โดส คิดเป็น 82.28% เข็มที่ 2 จำนวน 53,730,348 โดส คิดเป็น 77.25% และตั้งแต่เข็มที่ 3 ขึ้นไป จำนวน 33,987,074 โดส (อัพเดตวันที่ 26 พ.ค. 2566)
ด้านศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีโพสต์เฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics คาดสายพันธุ์หลักที่จะระบาดไปทั่วโลกในปีหน้า หรือ 2567 จะเป็นการระบาดของโอมิครอนกลุ่ม “Flip mutation” ที่มีการกลายพันธุ์ของกรดอะมิโนบริเวณหนามสองตำแหน่งชิดกัน (double mutation) คือที่ตำแหน่ง L455F หรือ L455S และ F456L เช่น โอมิครอน HV.1, HK.3, GK.1.1, EG.5.1.8, JN.1 ฯลฯ ที่คาดว่าสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนรุ่นใหม่ที่อาศัยเชื้อโอมิครอน XBB.1.5 เป็นต้นแบบในการผลิต (new monovalent SARS-CoV-2 variant vaccine)
- โอมิครอน XBB* เช่น EG.5 มีการกลายพันธุ์ในตำแหน่ง “F456L” อันจะช่วยให้ไวรัสหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนหรือจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ
- โอมิครอนการกลายพันธุ์ในตำแหน่งชิดกัน “L455F+F456L” นอกจะช่วยให้ไวรัสหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันแล้วยังช่วยให้ส่วนหนามของไวรัสเข้ายึดเกาะกับผิวเซลล์ (ACE2) ได้ดียิ่งขึ้น
- รุ่นลูกของ BA.2.86 เช่น JN.1 (BA.2.86.1.1) มีการกลายพันธุ์ในตำแหน่ง “L455S” อันจะช่วยให้ไวรัสหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนหรือจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ
หรือที่เรียกว่า "พิโรลา (Pirola)" เป็นไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์ใหม่ที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 ซึ่งถูกตรวจพบครั้งแรกในประเทศเดนมาร์กในเดือนกรกฎาคม 2566 และต่อมาถูกพบในหลายประเทศ สายพันธุ์นี้เป็นลูกของสายพันธุ์ย่อยโอมิครอน BA.2 ซึ่งทำให้เกิดการระบาดของไวรัสในช่วงต้นปี 2565
- โอมิครอนรุ่นที่ 1 คือ BA.1,BA.2 และบรรดาลูกหลานสายพันธุ์ย่อย
- โอมิครอนรุ่นที่ 2 คือ BA.4, BA.5 และบรรดาลูกหลานสายพันธุ์ย่อย
- โอมิครอน ที่ 3 คือ XBB และบรรดาลูกหลานสายพันธุ์ย่อย
- โอมิครอนรุ่นที่ 4 คือ BA.2.86 และบรรดาลูกหลานสายพันธุ์ย่อย
โอมิครอน BA. 2.86” จากรหัสพันธุกรรมพบว่าสืบสายสกุลมาจากโอมิครอนดั้งเดิม “BA.2” ซึ่งแยกจากสายสกุลโอมิครอน XBB ยังไม่อาจคาดคะเนได้ว่าผู้ติดเชื้อโอมิครอน BA.2.86 จะมีอาการที่ไม่รุนแรงคล้ายไข้หวัด หรือก่อให้เกิดการติดเชื้อรุนแรง (severe) จนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากเหมือนในช่วงที่เดลตาระบาด จนองค์การอนามัยโลกต้องกำหนดอักษรกรีก (ที่ใช้กับไวรัสโคโรนา 2019 กลายพันธุ์ที่ก่อโรครุนแรง) ตัวถัดจากโอมิครอนคือ “π (พาย/Pi)” ให้กับ BA.2.86 หรือไม่ ซึ่งมีการกลายพันธุ์บริเวณส่วนหนามต่างไปจาก BA.2 ถึงกว่า 30 ตำแหน่ง
แต่ในปี 2567 ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านกลับคาดว่าจะไม่ใช่โอมิครอน BA.2.86 และลูกหลานที่ระบาดเป็นสายพันธุ์หลัก แต่จะเป็นการระบาดของกลุ่มโอมิครอน “Flip” ซึ่งมีการกลายพันธุ์สองตำแหน่งชิดกัน (double mutation) คือที่ตำแหน่ง L455F หรือ L455S และ F456L อันก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับกรดอะมิโน “ฟีนิลอะลานีน (F)” “ซีรีน (S)” และ “ลิวซีน (L)” ทำให้ส่วนหนามของไวรัสสามารถจับกับผิวเซลล์ (ACE2) ได้มั่นคงขึ้น ทำให้ไวรัสแทรกเข้าสู่เซลล์ได้ง่ายขึ้น ปรากฏการณ์ดังกล่าวจึงถูกเรียกว่าการ “จับคู่-พลิกขั้ว (ของกรดอะมิโน)” หรือ “Flip”
โควิดกลายพันธุ์คู่-พลิกขั้ว น่ากังวลกว่า BA.2.86 เพราะหลบเลี่ยงภูมิได้ดีกว่า
ทั้งนี้ ปลายปี 2566 โลกได้มีโอกาสรู้จักโอมิครอนรุ่นที่สี่ (fourth generation omicron variants) “BA.2.86”
ข้อมูลจากฐานข้อมูลโควิดโลก “จีเสส(GISAID)” ในช่วง 6 เดือน (24/4/2566-20/10/2566) ที่ผ่านมาพบว่าจากการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมจากตัวอย่างส่งตรวจพบเป็นโอมิครอนกลุ่ม Flip (L455F+F456L) ประมาณ 24,800 ตัวอย่าง หรือประมาณร้อยละ 6 จากตัวอย่างทั้งหมดที่สุ่มมาถอดรหัสพันธุกรรมจากทั่วโลก โดยพบในไทย 7 ตัวอย่าง
ในขณะที่โอมิครอน BA.2.86 มีการแพร่ระบาดเพิ่มจำนวนอย่างช้าๆ พบเพียง 1,192 ตัวอย่าง หรือประมาณร้อยละ 0.29 จากตัวอย่างทั้งหมดที่สุ่มมาถอดรหัสพันธุกรรมจากทั่วโลก โดยยังไม่พบในประเทศไทย
โอมิครอน HK.3 ได้รับการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมและแชร์บนฐานข้อมูลจีเสส (GISAID) แล้วทั้งสิ้น 6,618 ตัวอย่าง ส่วนโอมิครอน GK.1.1 มีการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมและแชร์บนฐานข้อมูลจีเสส 2,699 ตัวอย่าง โอมิครอน EG.5.1.8 จำนวน 596 ตัวอย่างซึ่งต้องเฝ้าติดตามทั้งสองสายพันธุ์ย่อยอย่างใกล้ชิดต่อไป
พบโอมิครอน HK.3 ในประเทศไทยแล้วจำนวน 9 ราย ส่วน GK.1.1 และ EG.5.1.8 ยังไม่พบ (ณ. วันที่ 28 ตุลาคม 2566)
บรรดารุ่นลูกของโอมิครอน BA.2.86 เช่น JN.1 (BA.2.86.1.1) อาจถือได้ว่ามีวิวัฒนาการเชิงบรรจบหรือการเบนเข้าหรือ Flip Mutation เช่นเดียวกับ GK.1.1 (XBB.1.5.70.1.1) และ HK.3 (XBB.1.9.2.5.1.1.3) โดยเริ่มพบการกลายพันธุ์ที่ตำแหน่ง L455S โดยคาดว่าจะเข้ามาแทนที่โอมิครอน EG.5.1 ที่เป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้
สายพันธุ์ JN.1 (BA.2.86.1.1) มีการกลายพันธุ์ที่ไม่ซ้ำกับ XBB.1.5 ถึง 41 แห่ง หรือประมาณ 40%
ส่วนใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นในโปรตีนส่วนหนาม ซึ่งส่งผลให้มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นเนื่องจากความสามารถในการหลบหนีจากระบบภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าโอมิครอน BA.2.86 รุ่นพ่อแม่ การปรากฏขึ้นของสายพันธุ์ย่อยรุ่นลูกของ BA.2.86 ที่เรียกว่า JN.1 (BA.2.86.1.1) แสดงให้เห็นสายวิวัฒนาการของไวรัสโคโรนา 2019 เริ่มเป็น Flip Mutation
โอมิครอน JN.1 รุ่นลูกของ BA.2.86 พบครั้งแรกในประเทศลักเซมเบิร์กในเดือนสิงหาคม 2566 และต่อมาเจอในหลายประเทศ รวมถึงอังกฤษ, ไอซ์แลนด์, ฝรั่งเศส, และสหรัฐอเมริกา สายพันธุ์นี้มีความแตกต่างทางพันธุกรรมอย่างมากจากโอมิครอน XBB.1.5
โอมิครอน HV.1 เป็นลูกของสายพันธุ์ EG.5 ในตระกูล ต้นเดือนตุลาคม 2566 พบว่า HV.1 มีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในสหรัฐอเมริกาและอาจจะระบาดแทนที่สายพันธุ์ EG.5 มีรายงานว่า HV.1 อุบัติขึ้นในสหรัฐประมาณ 25% ของโควิดทุกสายพันธุ์ที่ระบาดหมุนเวียนในสหรัฐอเมริกาในขณะนี้ เพิ่ม ขึ้นจากประมาณ 1% ในต้นเดือนสิงหาคม
หมอมนูญเผยข้อมูลระบาดวิทยา ก.ย.66 พบไข้หวัดใหญ่แซงหน้าโควิด
ศูนย์จีโนม เผย “EG.5.1” ยังไม่สามารถแทนที่ “XBB.1.16” ในไทยได้