WHO เผยข้อเท็จจริง "ฝีดาษวานร" เมื่อติดเชื้อแล้วใช้ยาอะไรรักษา
องค์การอนามัยโลก ประเทศไทย เผยข้อเท็จจริงสำคัญที่ควรรู้เกี่ยวกับโรคฝีดาษวานร
โรคฝีดาษวานรเป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนที่เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งแสดงอาการคล้ายลักษณะอาการของผู้ป่วยโรคฝีดาษที่เคยพบเห็นในอดีต แต่อาการของโรครุนแรงน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม ภายหลังการกำจัดโรคฝีดาษได้สำเร็จในปี 2523 และการยุติการฉีดวัคซีนโรคฝีดาษ โรคฝีดาษวานรได้อุบัติขึ้นเป็นเชื้อไวรัส orthopoxvirus ที่สำคัญที่สุดสำหรับภาคสาธารณสุข ส่วนใหญ่โรคฝีดาษวานรพบในแถบแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก พบได้บ่อยบริเวณใกล้พื้นที่ป่าฝนเขตร้อนและเริ่มแพร่กระจายในเขตเมืองเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
อนามัยโลก ประกาศ “ฝีดาษลิง” เป็นภาวะฉุกเฉินระหว่างประเทศ
"อนุทิน" ขอ ปชช.อย่าตื่นตระหนก "ฝีดาษลิง" จับตาพรุ่งนี้ประชุมมาตรการ
ข้อเท็จจริงสำคัญ
- วัคซีนที่ใช้ระหว่างการดำเนินการตามแผนการกำจัดโรคฝีดาษ (smallpox) สามารถป้องกันโรคฝีดาษวานรได้ด้วย มีการพัฒนาวัคซีนชนิดใหม่หลายชนิดและมีวัคซีนชนิดหนึ่งได้รับอนุมัติให้ใช้ป้องกันโรคฝีดาษวานร
- เกิดจากไวรัสฝีดาษวานร (monkeypox virus) ซึ่งเป็นไวรัสในสกุล Orthopoxvirus ของวงศ์ Poxviridae
- ปกติฝีดาษวานรเป็นโรคที่หายได้เอง ระยะแสดงอาการตั้งแต่ 2 ถึง 4 สัปดาห์ แต่อาการรุนแรงก็อาจเกิดขึ้นได้ เมื่อไม่นานนี้ อัตราการป่วยตาย (case fatality ratio) อยู่ที่ประมาณร้อยละ 3-6
- การแพร่เชื้อสู่มนุษย์ของโรคฝีดาษวานรเกิดขึ้นจากการสัมผัสใกล้ชิดกับคนหรือสัตว์ติดเชื้อหรือการสัมผัสวัสดุปนเปื้อนเชื้อไวรัส
- โรคฝีดาษวานรสามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คนผ่านการสัมผัสรอยโรคบนผิวหนัง ของเหลวในร่างกาย ละอองน้ำจากการหายใจ และวัสดุที่ปนเปื้อน เช่น ปลอกหมอนหรือผ้าปูที่นอน
- ฝีดาษวานรเป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนที่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นในบริเวณพื้นที่ป่าฝนเขตร้อนแถบแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก และบางครั้งมีโอกาสแพร่กระจายไปยังภูมิภาคอื่น
- ยาต้านไวรัสที่พัฒนาสำหรับการรักษาโรคฝีดาษได้รับอนุมัติให้ใช้รักษาโรคฝีดาษวานรด้วย
- อาการที่สังเกตได้ของโรคฝีดาษวานรคล้ายลักษณะอาการของโรคฝีดาษ ซึ่งเป็นการติดเชื้อไวรัสในสกุล orthopoxvirus เหมือนกัน ซึ่งมีประกาศว่าถูกกำจัดไปจนหมดสิ้นทั่วโลกเมื่อปี 2523 โรคฝีดาษวานรติดต่อได้ยากกว่าโรคฝีดาษและทำให้เกิดภาวะเจ็บป่วยที่รุนแรงน้อยกว่า
- โดยทั่วไป ลักษณะอาการของโรคฝีดาษวานรมีดังนี้ มีไข้ ผื่นแดง และต่อมน้ำเหลืองโต และอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทางการแพทย์ตามมา
สหรัฐฯ กำลังพิจารณา “ฝีดาษลิง” อาจถูกจัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
นักวิจัยพบ “ฝีดาษลิง” อาจกลายพันธุ์มากกว่าที่คาดไว้
เชื้อก่อโรค
ไวรัสฝีดาษวานรเป็นไวรัสที่มีดีเอ็นเอสายคู่ที่มีโครงสร้างห่อหุ้มเซลล์ (enveloped double-stranded DNA) ซึ่งเป็นไวรัสในสกุล Orthopoxvirus ของวงศ์ Poxviridae ไวรัสฝีดาษวานรมี 2 สายพันธุ์หลักที่จำแนกตามการศึกษาวิวัฒนาการทางพันธุกรรม ได้แก่ สายพันธุ์แอฟริกากลาง (แถบลุ่มน้ำคองโก) และสายพันธุ์แอฟริกาตะวันตก ในอดีต สายพันธุ์ลุ่มน้ำคองโกทำให้เกิดโรคที่มีอาการรุนแรงกว่า และเชื่อกันว่าสายพันธุ์นี้แพร่เชื้อได้ง่ายกว่า ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีการจำแนกเชื้อไวรัส 2 สายพันธุ์ตามเขตภูมิศาสตร์ในแคมารูน ซึ่งเป็นเพียงประเทศเดียวที่ตรวจพบทั้ง 2 สายพันธุ์
พาหะในธรรมชาติของไวรัสฝีดาษวานร
สัตว์หลายสปีชีส์ที่ถูกระบุว่าติดเชื้อไวรัสฝีดาษวานรได้ง่าย ได้แก่ กระรอกเชือก, กระรอกต้นไม้, หนูแกมเบียที่มีถุงหน้าท้อง, หนูดอร์เมาซ์, สัตว์ตระกูลลิง และสัตว์ชนิดอื่น วิวัฒนาการของไวรัสฝีดาษวานรในธรรมชาติยังคงเป็นข้อมูลที่ไม่แน่ชัด และจำเป็นต้องทำการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อระบุแหล่งรังโรคที่แน่ชัดและอธิบายว่าไวรัสแพร่กระจายในธรรมชาติอย่างไร
เผยข้อแตกต่างการระบาด "ฝีดาษลิง" ในแอฟริกาและยุโรป
การแพร่เชื้อ
การแพร่เชื้อของโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน อาจเกิดขึ้นจากการสัมผัสกับเลือด ของเหลวในร่างกาย รอยโรคผิวหนังหรือเยื่อเมือกของสัตว์ติดเชื้อโดยตรง ในทวีปแอฟริกา มีหลักฐานที่ยืนยันการตรวจพบการติดเชื้อไวรัสฝีดาษวานรในสัตว์หลายชนิด ได้แก่ กระรอกเชือก, กระรอกต้นไม้, หนูแกมเบียที่มีถุงหน้าท้อง, หนูดอร์เมาซ์, สัตว์ตระกูลลิงหลายชนิด และสัตว์ชนิดอื่น แหล่งรังโรคในธรรมชาติของไวรัสฝีดาษวานรยังไม่ถูกระบุแน่ชัด แต่สัตว์ฟันแทะมีความเป็นไปได้มากที่สุด การรับประทานเนื้อสัตว์ที่ไม่สุกพอและผลิตภัณฑ์อื่นจากสัตว์ติดเชื้อเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เป็นไปได้ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณหรือใกล้พื้นที่ป่าอาจมีโอกาสทางอ้อมหรือโอกาสเสี่ยงน้อยที่จะสัมผัสสัตว์ติดเชื้อ
การแพร่เชื้อจากคนสู่คน เกิดขึ้นได้จากการสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจหรือรอยโรคผิวหนังของผู้ติดเชื้อ หรือการสัมผัสกับวัตถุที่ปนเปื้อนไม่นาน ปกติการแพร่เชื้อผ่านละอองน้ำจากการหายใจเกิดขึ้นได้เมื่อใบหน้าอยู่ใกล้ชิดกัน ซึ่งเป็นเหตุให้บุคลากรสาธารณสุข คนในบ้านเดียวกัน และผู้สัมผัสใกล้ชิดคนอื่นของผู้ติดเชื้อมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ห่วงโซ่การแพร่เชื้อในชุมชนที่ยาวที่สุดที่ถูกบันทึกไว้ได้เพิ่มขึ้นและสถิติการติดเชื้อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งสูงสุดเพิ่มขึ้นจาก 6 รายเป็น 9 ราย ตัวเลขนี้อาจแสดงถึงภูมิคุ้มกันในทุกชุมชนที่ลดลงเรื่อย ๆ เนื่องจากยุติการฉีดวัคซีนโรคฝีดาษ นอกจากนี้ การแพร่เชื้ออาจเกิดขึ้นผ่านรกจากแม่สู่ทารกในครรภ์ (ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคฝีดาษวานรตั้งแต่กำเนิด) หรือเกิดขึ้นระหว่างการสัมผัสใกล้ชิดขณะคลอดและหลังคลอด ถึงแม้ว่าการสัมผัสใกล้ชิดทางกายเป็นปัจจัยเสี่ยงการแพร่เชื้อที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ปัจจุบันยังไม่แน่ชัดว่าโรคฝีดาษวานรสามารถแพร่เชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์หรือไม่ และจำเป็นต้องทำการวิจัยเพื่อเข้าใจความเสี่ยงนี้มากขึ้น
การฉีดวัคซีน
ในงานวิจัยเชิงสังเกตหลายงาน การฉีดวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษได้พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิผลในการป้องกันโรคฝีดาษวานรได้สูงถึงร้อยละ 85 ดังนั้น การฉีดวัคซีนโรคฝีดาษเมื่อก่อนอาจทำให้ภาวะการเจ็บป่วยรุนแรงน้อยลง ปกติหลักฐานการฉีดวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษจะปรากฏเป็นแผลเป็นบนต้นแขน ในปัจจุบันไม่มีวัคซีนโรคฝีดาษชนิดเดิม (รุ่นแรก) ที่ให้บริการแก่ประชาชนแล้ว แต่บุคลากรห้องปฏิบัติการหรือสาธารณสุขบางคนอาจได้รับวัคซีนโรคฝีดาษเมื่อเร็ว ๆ นี้เพื่อป้องกันการได้รับเชื้อไวรัส orthopoxvirus ในสถานที่ทำงาน
ส่วนวัคซีนชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ที่ผลิตจากไวรัสวัคซิเนีย (สายพันธุ์ Ankara) ที่ใหม่กว่าได้รับอนุมัติให้ใช้ป้องกันโรคฝีดาษวานรได้เมื่อปี 2562 วัคซีนชนิดนี้เป็นวัคซีนแบบ 2 โดสที่ยังไม่แพร่หลายมากนัก มีการพัฒนาวัคซีนฝีดาษและฝีดาษวานรเป็นสูตรที่แตกต่างกันตามชนิดของไวรัสฝีดาษ เนื่องจากการป้องกันแบบไขว้ (cross-protection) มีคุณสมบัติกระตุ้นภูมิคุ้มกันสำหรับ orthopoxvirus
ที่ปรึกษาอนามัยโลกคาด “ฝีดาษลิง” อาจระบาดหนักเพราะ “เพศสัมพันธ์”
ไทยมีวัคซีนฝีดาษสำรอง 5 แสนโดส จ่อจัดซื้อรุ่นใหม่ ใช้ฉีดเฉพาะกลุ่ม
ยารักษา
การรักษาโรคฝีดาษวานรควรดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อบรรเทาอาการต่าง ๆ จัดการกับภาวะแทรกซ้อน และป้องกันผลจากการติดเชื้อในระยะยาว ผู้ป่วยควรได้รับของเหลวและอาหารเพื่อให้สถานะทางโภชนาการอยู่ในระดับดีตลอดการรักษา การติดเชื้อแบคทีเรียทุติยภูมิควรได้รับการรักษาตามข้อบ่งชี้ ยาต้านไวรัสชื่อ tecovirimat ที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้รักษาโรคฝีดาษได้รับอนุมัติให้ ใช้รักษาโรคฝีดาษวานรโดยสมาคมการแพทย์แห่งยุโรป (EMA) ในปี 2565 ตามข้อมูลการวิจัยในสัตว์และมนุษย์ แต่ยาชนิดนี้ยังไม่แพร่หลายทั่วไป
หากใช้ tecovirimat รักษาผู้ป่วย ควรติดตามตรวจสอบผลการรักษาในบริบทของการวิจัยทางคลินิกที่มีการเก็บข้อมูลเพื่อติดตามผลในอนาคต
โรคฝีดาษวานรเกี่ยวข้องกับโรคฝีดาษอย่างไร
อาการที่สังเกตได้ของโรคฝีดาษวานรคล้ายลักษณะอาการของโรคฝีดาษ ซึ่งเป็นการติดเชื้อไวรัสในสกุล orthopoxvirus ที่ถูกกำจัดจนหมดสิ้นไปแล้ว โรคฝีดาษแพร่เชื้อได้ง่ายกว่าและทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า ประมาณร้อยละ 30 ของจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดเสียชีวิต พบผู้ป่วยรายสุดท้ายที่ติดเชื้อไวรัสฝีดาษจากธรรมชาติเมื่อปี 2520 และในปี 2523 มีการประกาศว่าโรคฝีดาษถูกกำจัดจนหมดสิ้นทั่วโลกภายหลังการดำเนินการรณรงค์ฉีดวัคซีนและควบคุมโรคทั่วโลก ทุกประเทศจึงได้ยุติการฉีดวัคซีนโรคฝีดาษที่เป็นวัคซีนแบบ vaccinia-based vaccines ตามกำหนดการฉีดวัคซีนโดยปกติเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว เนื่องจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษ มีผลในการป้องกันโรคฝีดาษวานรในแถบแอฟริกาตะวันตกและแอฟริกากลางได้ด้วย ปัจจุบันประชากรที่ไม่ได้รับวัคซีนจึงมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสฝีดาษวานรได้ง่ายกว่า
ถึงแม้ว่าโรคฝีดาษไม่ใช่โรคที่เกิดขึ้นในธรรมชาติอีกต่อไป ภาคสุขภาพทั่วโลกยังคงต้องเฝ้าระวังเหตุการณ์ที่อาจกลับมาเกิดขึ้นได้อีกเนื่องจากกลไกทางธรรมชาติ อุบัติเหตุในห้องปฏิบัติการ หรือการจงใจปล่อยเชื้อไวรัส เพื่อให้มั่นใจว่าทั่วโลกมีการเตรียมความพร้อมรับมือกับการอุบัติใหม่ของโรคฝีดาษ ขณะนี้มีวัคซีนและยาต้านไวรัสชนิดใหม่รวมทั้งวิธีการวินิจฉัยโรคแบบใหม่ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา สิ่งเหล่านี้อาจเป็นประโยชน์สำหรับการป้องกันและควบคุมวิธีการวินิจฉัยโรคด้วย
"เริม" ติดไม่ง่ายแต่ติดได้ รู้ชัดแยกความต่าง "อีสุกอีใส - ฝีดาษลิง"
ถาม - ตอบเรื่อง "โรคฝีดาษลิง" รู้ระวังไม่ตื่นตระหนก ฝีดาษ ฝีดาษลิง
ขอบคุณข้อมูลสุขภาพจาก World Health Organization Thailand