กลายเป็นประเด็นร้อนหลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเอกฉันท์ 6 เสียง ไม่รับคำร้องกรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล มีคุณสมบัติลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ กรณีถือหุ้นไอทีวี 42,000 หุ้น เหตุคำร้องยื่นเกินระยะเวลาตามกฎหมายกำหนด แต่มีมติรับเรื่องไว้พิจารณาตามมาตรา 151 เหตุรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งแต่ยังฝืน
ประเด็นนี้ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง ออกมาแสดงความเห็นว่า แบบนี้หนักกว่าเดิม
กกต.มีมติไม่รับ 3 คำร้อง “พิธา” ถือหุ้นไอทีวี แต่รับเรื่องไว้พิจารณาตามม.151
สภาพอากาศวันนี้! ฝนถล่ม 39 จังหวัดทั่วไทย กทม.ไม่รอด โดน 60%
โดย นายสมชัย อธิบายว่า จากตอนแรกที่ต้องพิจารณา 3 คำร้องเรื่องถือหุ้นสื่อก่อน ซึ่งต้องผ่านศาลรัฐธรรมนูญ หากผิดจริงจึงเสนอศาลอาญา แต่ตอนนี้เมื่อปัดตก 3 คำร้อง กกต. สามารถดำเนินคดีอาญาเองตามมาตรา 151 โดนไม่ต้องผ่านศาลรัฐธรรมนูญ
นายสมชัย ระบุว่า มาตรา 151 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. แต่ยังลงสมัคร ต้องระวางโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ20,000-200,000 บาท และตัดสิทธิทางการเมือง 20 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้นักการเมืองรายเล็กๆ โดนคดีนี้มาแล้วหลายคน
แม้จะใช้เวลานานในการพิจารณาคดี แต่ในระหว่างนี้ก็ทำให้ความไว้วางใจของ ส.ว. ต่อ นายพิธา ลดน้อยลง
ส่วนทิศทางทางการเมืองหลังจากนี้ นายสมชัย มองว่า โอกาสที่ ส.ว.จะโหวตให้นายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นอาจน้อยลง เนื่องจากมีข่าวต่างๆ ออกมาดิสเครดิตอยู่เรื่อยๆ ซึ่งหากนายพิธาไม่ได้เป็นนายกฯ ทางที่ดีที่สุดคือ 8 พรรคร่วมรัฐบาลต้องจับมือกันเหมือนเดิม โดยมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ยิ่งจัดตั้งรัฐบาลได้เร็วเท่าไร ก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อประเทศ โดยระหว่างที่ยังจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ก็จะเป็นรัฐบาลรักษาการณ์ต่อไปเรื่อย
สหรัฐฯ ฟ้อง “ทรัมป์" ฐานจัดการเอกสารลับไม่เหมาะสม
Pride Month : ฟังเสียง “ทูตนฤมิต” ตัวแทน LGBT เมื่อการเรียกร้องคือชีวิต