สิงหาคม 2567 ความร้อนแรงทางการเมืองทวีคูณขึ้นถึงขีดสุด มีความเคลื่อนไหวใน 2 คดีสำคัญ ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และการยุบพรรคการเมือง
คดีแรกเกี่ยวกับการยุบพรรค “ก้าวไกล” หลังถูกร้องถึงการเสนอแก้ ม.112 ในการหาเสียงเลือกตั้งปี 2566
อีกคดีเกี่ยวกับการถอดถอน “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กรณีแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรี
ทั้ง 2 คดีสร้างแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองทั้งกระดาน และทำให้ไทยมีนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ชื่อ “แพทองธาร ชินวัตร” อีกด้วย
นโยบายแก้ ม.112 ต้นเหตุยุบ "ก้าวไกล"
ย้อนกลับไปช่วงต้นปี 2566 พรรคก้าวไกล เสนอนโยบายหาเสียง เกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมาย ม.112, 116, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เป็นเหตุให้มีการยื่นคำร้อง ขอให้พิจารณาการกระทำของพรรคก้าวไกล และ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคในขณะนั้น เข้าข่ายปฏิปักษ์ต่อการปกครอง
กระทั่งวันที่ 31 ม.ค. 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 3/2567 โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์วินิจฉัยว่า การกระทำของนายพิธา และพรรคก้าวไกล เป็นการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริยทรงเป็นประมุขตามมาตรา 49 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญ
เป็นเหตุให้ “ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” อดีตทนายความของอดีตพระพุทธอิสระ ผู้ร้องในคดีตั้งต้น และ “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” ยื่นคำร้องขอให้ กกต.พิจารณาส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญให้มีการยุบพรรคก้าวไกลในประเด็นเดียวกัน
12 มีนาคม 2567 กกต.มีมติเอกฉันท์ยื่นคำร้องศาลรัฐธรรมนูญ โดยเห็นว่ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พรรคก้าวไกลกระทำการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประซาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560
ราชกิจจาฯ เผยแพร่คำสั่ง ยกเลิก ห้ามขายเครื่องกรองน้ำยี่ห้อดัง 1 รุ่น
คนร้ายยิงตัวตาย! เหตุยิงกันบึงกาฬ เสียชีวิต 3 ศพ บาดเจ็บอีก 3 คน
“เบี้ยผู้สูงอายุ 2568” เช็กวันโอนเข้าบัญชี และอัตราการจ่ายเบี้ยตามเกณฑ์อายุ
“ก้าวไกล” เปิด 9 ข้อสู้คดียุบพรรค
ตลอดระยะเวลาหลายเดือน ศาลรัฐธรรมนูญขยายระยะเวลาตามที่พรรคก้าวไกลขอ 3 ครั้ง รวมทั้งหมด 45 วัน
กระทั่ง 9 มิถุนายน 2567 “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกลในขณะนั้น แถลงเปิด 9 ข้อต่อสู้ในคดียุบพรรคก้าวไกล โดยสาระสำคัญ คือ
- การวินิจฉัยคดียุบพรรคไม่อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ
- การยื่นคำร้องในคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย
- คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ไม่มีผลไม่มีผลผูกพันในการวินิจฉัยคดีนี้ ศาลจะต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีนี้ใหม่
- นอกจากการเสนอนโยบายแก้ไข ม.112 แล้ว การกระทำอื่นๆ ตามคำร้องไม่ได้เป็นการกระทำของพรรค
- การกระทำที่กกต.กล่าวหาไม่เป็นการล้มล้าง ไม่อาจเป็นปฏิปักษ์
- ศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรยุบพรรคก้าวไกล โทษยุบพรรคต้องให้ได้สัดส่วนกับพฤติการณ์ ของพรรคการเมือง และเป็นมาตรการสุดท้ายเมื่อจำเป็นฉุกเฉิน ฉันพลัน ไม่มีทางอื่นแก้ไขในระบอบประชาธิปไตย
- แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งยุบพรรค ก็ไม่มีอำนาจกำหนดระยะเวลาการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค
- การกำหนดระยะเวลาเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค ต้องพอสมควรแก่เหตุ ไม่เกิน 5 ปี
- การเพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งต้องเพิกถอนเฉพาะของกรรมการบริหารพรรคที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด
ยุบ "ก้าวไกล" ตัดสิทธิ์กรรมการบริหาร 10 ปี
กระทั่ง 7 สิงหาคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัย และมติเอกฉันท์ ยุบพรรคก้าวไกล และกรรมการบริหารพรรครวม 11 คน ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี
เย็นวันเดียวกัน อดีตพรรคก้าวไกล ร่วมแถลงท่าทีต่อสื่อมวลชน โดย “ชัยธวัช ตุลาธน” อดีตหัวหน้าพรรค เปิดเผยตอนหนึ่งว่า “ในฐานะอดีตกรรมการบริหารพรรคขอยืนยันว่า ทั้งโดยข้อเท็จจริงและหลักกฎหมาย เราไม่ได้ทำอย่างที่ศาลเห็น”
ขณะที่ “พิธา” อดีตที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคในขณะนั้น เปิดเผยว่า ขอให้ประชาชนที่อยู่ในความรู้สึกผิดหวัง โกรธแค้น มีน้ำตา เสียใจได้ในวันนี้เพียงวันเดียว พรุ่งนี้ขอให้เก็บความรู้สึกเหล่านี้ไประเบิดเป็นพลังในคูหาเลือกตั้ง
ต่อมา เขาได้ปราศรัยบนเวที พร้อมหลั่งน้ำตา โดยระบุว่า เป็นน้ำตาแห่งความดีใจ ไม่ใช่ความเสียใจ พร้อมยกมือขึ้นมาทำรูปหัวใจให้กับประชาชน
“พวกเขาทำอะไรพวกเราไม่ได้ และเราก็ไม่ชินชากับการเมืองแบบนี้ พูดสั้นๆง่าย ๆ ตาย 10 เกิดแสน ถึงวันนี้ตอนยืนต่อหน้าพี่น้องประชาชน ขออำลาพวกท่านในฐานะนักการเมือง แต่ถ้าพวกท่านยังต้องการ ผมจะขอกลับมาใหม่ ในฐานะประชาชนสู้ไปกับพวกท่าน”
143 สส.ย้ายร่วมบ้านใหม่ “ประชาชน”
หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยไม่นาน 143 สส.จากอดีตพรรคก้าวไกล ย้ายเข้าร่วมสังกัดพรรคใหม่ชื่อ “ประชาชน” โดยมี “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” เป็นหัวหน้าพรรค
โดย “ณัฐพงษ์” หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่า ภารกิจของพรรคคือการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริงได้ในการเลือกตั้งปี 2570
ถอดถอน “เศรษฐา” พ้นนายกรัฐมนตรี
คำวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล เกิดขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคม 2567 เช่นเดียวกับกรณีของ “เศรษฐา ทวีสิน” ที่ศาลวินิจฉัยพ้นจากตำแหน่งในเดือนเดียวกัน
ย้อนกลับไปช่วงเมษายน 2567 เขานำรายชื่อทูลเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี โดยหนึ่งในนั้นคือ “พิชิต ชื่นบาน” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
กระทั่งเมษายน 2567 นายวัชร เพชรทอง อดีต สส.ประชาธิปีตย์ ยื่นคำรองต่อ ป.ป.ช.ขอให้ไต่สวน “เศรษฐา” ส่อว่ากระทำผิดจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่
นายพิชิต เคยถูกศาลฎีกาสั่งจำคุก 6 เดือนโดยไม่รอลงอาญา ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล กรณีพยายามนำถุงขนมใส่เงินสดจำนวน 2 ล้านบาท ไปมอบให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในระหว่างการพิจารณาคดีที่ดินรัชดาฯ
เรื่องดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง และเป็นเหตุสมาชิกวุฒิสภา (สว.) 40 คน ร่วมกันเข้าชื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องดังกล่าว ขณะเดียวกัน “พิชิต” ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2567 ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งรับหรือไม่รับคดีไว้พิจารณา โดยให้เหตุผลว่า เพื่อเป็นทางออกไม่ให้กระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี
ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
อย่างไรก็ตาม 23 พฤษภาคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติรับคำร้อง แต่ไม่มีคำสั่งให้ “เศรษฐา” หยุดปฏิบัติหน้าที่ กระทั่งมีการแต่งตั้ง “วิษณุ เครืองาม” เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เพื่อให้คำปรึกษาทางด้านกฎหมาย
14 ส.ค.2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 ต่อ 4 วินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุนสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรมนูญ เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และ มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ส่งผลให้ นายเศรษฐาพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และทำให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นตำแหน่งตามไปด้วยทั้งคณะ
“แพทองธาร” นั่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31
วันถัดมา “แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและบุตรสาวคนเล็กของนายทักษิณ ชินวัตร เสนอตัวนั่งนายกรัฐมนตรี ต่อจาก “เศรษฐา ทวีสิน” โดยระบุว่า ขอบคุณพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาลสำหรับการสนับสนุนครั้งนี้ โดยยืนยันว่าจะทำทุกอย่างเต็มความสามารถ
16 สิงหาคม 2567 สภาผู้แทนราษฎรมีมติ 319 ต่อ 145 เสียง เลือก “แพทองธาร” เป็นนายกรัฐนตรีคนที่ 31
“แพทองธาร” เปิดใจครั้งแรก หลังได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ว่า “ไม่คิดว่าตัวเก่งดีที่สุด เก่งที่สุดในห้อง แต่คิดเสมอว่าเรามีแรงผลักดันที่ชัดเจน มีทีมที่ดี และเข้มแข็ง คิดไปในแนวทางเดียวกับเรา และจะประสบความสำเร็จได้”