ได้บทสรุปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับช่วงเวลาของการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่จะเริ่มต้นในวันที่ 24 มีนาคมนี้ ท่ามกลางการหักเหลี่ยมเฉือนคมที่เข้มข้นในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการให้นำชื่อ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีออกจากญัตติ มาจนถึงเรื่องของเวลาในการอภิปราย ที่ลงตัวที่ 28 + 7 ชม. ซึ่งก็มีการครหาว่าข้อตกลงเช่นนี้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับนายกฯ หรือฝั่งรัฐบาลหรือไม่ และยังมีรายงานว่า มีการตั้งทีมองครักษ์พิทักษ์ข้อบังคับการประชุมออกมาแล้วด้วย ซึ่งจะมีหน้าที่ใดในสภานั้นเป็นเรื่องที่น่าจับตามอง
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช และ นายสิระ เจนจาคะ อดีต สส.พรรคพลังประชารัฐ ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวในรายการคุยข้ามช็อต Exclusive Talk ไว้อย่างน่าสนใจ
บีบเวลาซักฟอก สะท้อนรัฐบาลใจแคบ - การกระทำสวนทางกับคำพูด
นายเทพไท กล่าวว่า การบีบเวลาอภิปรายไม่ไว้วางใจให้เป็น 28 + 7 ชั่วโมงนั้น สะท้อนว่ารัฐบาลใจแคบ กลัวการอภิปราย ถ้าย้อนดูประวัติศาสตร์การอภิปรายไม่ไว้วางใจ เหมือนเป็นการถอยหลังลงมาเรื่อย ๆ จากยุคของ พลเรือตรีถวัลย์ ธํารงนาวาสวัสดิ์ ขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน มีการอภิปรายถึง 8 วัน 7 คืนติดต่อกัน เป็นแบบนี้มาโดยตลอด
หรือหากอ้างว่าเป็นการอภิปรายคนเดียว ควรใช้เวลาวันเดียว ถ้าย้อนไปดูการอภิปรายนายบรรหาร ศิลปอาชา และพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งโดนคนเดียวเช่นกัน ยังใช้เวลากว่า 3 - 4 วัน พอมารอบนี้ พรรคประชาชนขอ 5 วันในครั้งแรก แต่รัฐบาลก็ขอเวลาเพียงวันเดียว
นายเทพไท กล่าวต่อว่า หลักการอภิปรายต้องคุยว่าเนื้อหามีประเด็นอะไร มีคนอภิปรายกี่คน ถึงจะสามารถกำหนดวันได้ ถ้ามีน้อยคนให้วันเดียวพอ หรือถ้ามีมากคนก็ให้ 3 - 4 วันได้ ซึ่งถ้ายึดมาตรฐานว่าคนถูกอภิปรายมีคนเดียว ใช้เวลาวันเดียว แต่จริง ๆ แล้วคนหนึ่งคนเวลาถูกอภิปรายจะมีหลายประเด็น เพราะฉะนั้น สส. อาจใช้หลายคน ต้องใช้เวลาพอสมควร
ส่วนตัวคิดว่าเป็นครั้งแรกของรัฐบาลชุดนี้ที่ต่อรองให้เหลือเวลาอภิปรายไม่ไว้วางใจน้อยที่สุด เหตุผลเพราะอาจเป็นข้อจำกัดของนายกรัฐมนตรีคนนี้ ที่หลายฝ่ายประเมินว่าการตอบคำถามการอภิปรายของฝ่ายค้านน่าจะลำบาก จึงต้องทำอย่างไรก็แล้วแต่ให้บีบพื้นที่เหลือน้อยที่สุด วันเวลาให้น้อยที่สุด เหลือวันเดียว จนยื้อกันไปเหลือ 28 ชม. ถ้ายิ่งเปิดกว้างหลายวันเข้า ก็จะยิ่งเปิดแผลมากยิ่งขึ้น
นายเทพไท กล่าวต่อว่า กรณีที่นายกฯ บอกว่าตอบคำถามได้เป็นเดือนนั้น ส่วนตัวมองว่า คำพูดกับการกระทำนั้นต่างกัน แม้จะบอกว่า 30 วัน 30 ชม. ก็ได้ แต่พอหลังจากนั้น ผู้ใหญ่ในพรรค วิปในพรรคก็ออกมาบอกว่าไม่ได้ เหมือนกับการตั้งวอลรูมสนับสนุนข้อมูลให้นายกฯ ก่อนจะมาเป็น “องครักษ์พิทักษ์องค์ประชุม” มองว่าเป็นการแก้เกี้ยว แก้เขินเท่านั้น
อภิปรายเที่ยงคืนถึงตีห้า หวังหลบหลีกไม่ให้ประชาชนรู้เห็นรับฟัง
นายสิระ กล่าวว่า การที่รัฐบาลใช้การบีบช่วงเวลาให้เหลือเพียง 28 ชั่วโมงยังไม่พอ ยังใช้เทคนิคอภิปรายหลังเที่ยงคืนถึงตี 5 เป็นความต้องการหลบหลีกการตรวจสอบไม่ให้ประชาชนได้รู้เห็นได้รับฟัง ส่วนหนึ่งตนก็ไม่เห็นด้วยในเรื่องของการอภิปรายหลังเที่ยงคืน สส. ที่ลงมติในสภาก็จำเป็นต้องฟัง ไม่ใช่ว่าอภิปรายตอน สส. หลับ ซึ่งจะกลายเป็นว่า สส. ไม่ได้รับข้อมูล น่าจะเป็นเรื่องไม่ปกติ เป็นการเอาเปรียบตัว สส. เองด้วยซ้ำ
ซึ่งการลงมตินั้น สส. จำเป็นต้องได้รับข้อมูลในการอภิปราย รวมถึงตัวนายกรัฐมนตรี ทีนี้พอไม่มีการรับฟัง การลงมติจะถูกต้องได้อย่างไร
นายสิระ กล่าวต่อว่า เทคนิคนี้เป็นการปกป้องนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว เพราะนายกฯ คงฟังได้ไม่นาน หรือวุฒิภาวะนั้นจะเพียงพอหรือไม่ที่จะอดกลั้น เช่น เราเคยเห็นภาพติดตาอยู่ตอนที่นายกฯ ไปฟังศาลรัฐธรรมนูญ ในกรณีของบิดา แล้วมีการออกสีหน้าออกอาการ ซึ่งครั้งนี้ถ้าฝ่ายค้านมีข้อมูลหรืออภิปรายตัวของบิดาหรือตัวนายกฯ เอง จะมีวุฒิภาวะทนฟังได้หรือไม่ เพราะพอยิ่งยาวยิ่งโดนกระหน่ำจะทนไม่ไหว
"องครักษ์พิทักษ์การประชุม" มีหน้าที่ทำข้อมูลส่งให้นายกฯ ท่อง - อ่านตามในไอแพด?
นายเทพไท กล่าวว่า ทีมองครักษ์พิทักษ์การประชุมนั้นปกติแล้วจะมีโดยธรรมชาติ ไม่เคยมีนายกฯ คนไหนประกาศตั้ง แต่นายกฯ ด้วยความอ่อนหัดทางการเมือง จึงบอกว่าจะมีการประกาศตั้งแน่นอน ทำคนช็อกกัน ซึ่งการบีบเวลาให้น้อยลง บีบให้อภิปรายถึงตี 5 เพราะคาดหวังว่าเวลากลางคืนที่อภิปราย คนจะไม่ติดตาม หลับ ไม่สนใจ พวกนี้เป็นประเภทที่จะไปแอบอภิปรายที่ไหนก็ได้ อย่าให้ประชาชนรู้
ทว่าโลกปัจจุบันไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่ถ้าอภิปรายกลางคืนนักข่าวจะน้อย ข่าวจะเสนอตอนเวลาไพรม์ไทม์ แต่ยุคนี้เป็นยุคโซเชียล ถึงจะลากอภิปรายถึงตี 5 ก็มีกล้องตั้งจนถึงตี 5 จากนั้นเช้ามาตัดช็อตเด็ด ๆ มาปั่นในโซเชียล ถ้าพลาดขึ้นมาก็จะเดือดร้อน
นายเทพไท กล่าวต่อว่า ปัญหาคือการปล่อยให้ สส. อภิปรายถึงตี 5 แล้วนายกฯ รัฐมนตรีผู้ถูกอภิปราย อยู่หรือไม่ ไปให้นมลูกที่บ้านหรือไม่ เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นคือ เขารู้ว่าให้ฝ่ายค้านอภิปรายไปเรื่อย ๆ แล้วค่อยเข้ามาตอบเช้าอีกวันหนึ่ง ระหว่างนั้นก็เตรียมข้อมูล ติวว่าจะตอบอะไรบ้าง ประเภทที่ว่าด้นสด หมัดต่อหมัด ปากต่อปาก นายกฯ อิ๊งค์สู้ไม่ได้ ตกม้าตายกลางสภา จึงต้องเลี่ยง ระหว่างนั้นฝ่ายทำข้อมูลก็ทำ สนับสนุนข้อมูล นำมาท่อง ใส่ในไอแพด เช้ามาค่อยมาตอบ ก็จบ
แนวทางดังกล่าวเป็นทางออกเพื่อปกป้องนายกฯ ถ้านายกฯ แน่จริง เก่งจริง ตัวต่อตัว ซึ่งผู้อภิปรายก็เป็นเจนวาย เจนเดียวกันทั้งนั้น ก็ให้มาสู้กัน อภิปรายถึงตี 5 นายกฯ ต้องอยู่ถึงตี 5 ไม่ใช่ให้ทีมงานจด บันทึกให้ ร่างให้ แบบนี้ส่วนตัวมองว่าไม่แฟร์ เป็นการเอาเปรียบฝ่ายค้าน
นายเทพไท กล่าวต่อว่า เราจะเห็นบทบาท สส. ที่ทำหน้าที่เป็นองครักษ์จำนวนหนึ่ง ชุดแรกอาจนำเด็กหน้าใหม่ ๆ มาประมาณ 10 กว่าคน เพื่อให้นำมาฝึกซ้อม แนะนำตัวให้คุ้นเคยกับสภา โดยอ้างข้อบังคับและอาจถูกโต้กลับ พอโดนสวน ไปไม่เป็น ก็จะมีรุ่นกลางเป็นชุดสองเข้ามาสอดแทรก จากนั้นก็จะมีรุ่นใหญ่เข้ามาสนับสนุนตบท้าย ทั้งหมดนี้เป็นการมาตัดเกมกระตุกฝ่ายค้าน
ส่วนภาระหน้าที่ฝ่ายค้านต้องเตรียมมืออภิปราย และคนที่ช่วยตัดเกมคนพวกนี้ ซึ่งส่วนตัวไม่แน่ใจว่าจะมีกำลังพอหรือไม่ เพราะพรรคประชาชนส่วนใหญ่เป็นมือใหม่มาก ความเชี่ยวชาญ เหลี่ยมมุมในการตอบโต้อาจค่อนข้างลำบาก
ด้านนายสิระ กล่าวว่า องครักษ์พิทักษ์การประชุมนั้นเป็นแค่การเปลี่ยนชื่อเฉย ๆ ถ้าพูดไปล่วงเกินบุคคลภายนอกก็มีการประท้วงกันแล้ว พอประท้วงก็จะดึงเวลาที่จะอภิปรายตัวนายกฯ ออกไปได้อีก เวลาก็จะถูกยืดออกไปอีก ซึ่งเวลา 20 กว่าชั่วโมงนั้นเป็นเวลาที่น้อยมาก แค่ประท้วงครั้งหนึ่งก็ใช้เวลาสัก 4 - 5 นาที จริง ๆ แล้วก็ไม่ต้องหลีกเลี่ยง ใช้คำว่าองครักษ์พิทักษ์นายกฯ ตรง ๆ ไปเลย
"อัลไพน์" หมัดเด็ดพรรคพลังประชารัฐ ดัน "ลุงป้อม" อภิปราย มองเป็นการรังแก
นายสิระ กล่าวว่า การอภิปรายของพรรคพลังประชารัฐครั้งนี้ แสงฉายไปยัง “ลุงป้อม” และเหล่า สส. ก็ไม่รู้ว่าจะเตรียมข้อมูลให้ลุงป้อมได้มากน้อยขนาดไหน ซึ่งลุงป้อมนั้นมีปัญหาเรื่องสุขภาพเป็นข้อจำกัด แม้จะออกมาบอกว่าลุงป้อมมีการซักซ้อมหนักก็ตาม ตนเคยไปดูหนังจากตัวอย่างที่ดุเดือด พอเข้าไปดูแล้วไม่เหมือนหนังตัวอย่างเลย ตนกลัวว่าครั้งนี้จะเป็นการรังแกลุงป้อมมากกว่า และเป็นการคิดไม่ดีกับลุงป้อมหรือไม่ หรือจะทำให้ลุงป้อมเสียหายหรือไม่
นอกจากนี้ ประเด็นเรื่องการตรวจสอบรัฐบาลของลุงป้อมนั้นหายไป กลายเป็นลุงป้อมจะยืนอภิปรายได้ไหม ยืนได้กี่วินาที ไม่ได้สนใจที่ประเด็นข้อมูลที่จะนำมาใช้ในการซักฟอกนายกฯ
นายสิระ กล่าวต่อว่า แม้แต่ประเด็นอัลไพน์ ที่บอกว่าเป็นทีเด็ดที่จะถูกนำมาซักฟอกนายกฯ นั้น ตนก็รู้แล้วว่าคืออะไร คือการที่ สส.พรรคเพื่อไทย ส่งข้อมูลเก่าที่เคยตรวจสอบเรื่องอัลไพน์มาให้ลุงป้อมเพื่อให้ตรวจสอบ เพราะโกรธแค้นพรรคเพื่อไทยกันเอง เนื่องจากอยากออกจากพรรคแต่ทางพรรคไม่ขับออก ปัจจุบันนี้ สส. ดังกล่าวก็ยังคงอยู่ที่พรรคเพื่อไทย
แต่การที่ลุงป้อมมาอภิปรายแทนนั้นอาจทำให้ข้อมูลผิดเพี้ยนไป น้ำหนักของการอภิปรายอาจลดลง และจะเจ็บปวดที่สุดคือ การที่นายกรัฐมนตรีลุกขึ้นมาตอบลุงป้อมว่าที่ท่านอภิปรายมาไม่เป็นความจริง และลงไปเลย เหมือนที่ลุงป้อมเคยทำ ส่วนตัวยืนยันว่าถ้ารักลุงป้อมจริงอย่าให้ลุงป้อมอภิปราย
ศึกซักฟอกราบรื่นหรือไม่ "ประธานสภาฯ" คือผู้กำหนด
นายเทพไท กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้จะราบรื่นหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับประธานสภาฯ คิดว่าประธานสภาฯ ทั้ง 3 คนต้องประชุมทำความเข้าใจข้อกติกาการประชุมให้เป็นมาตรฐานเดียวกันให้ได้ ไม่เช่นนั้นพอใครขึ้นมาก็วินิจฉัยแบบหนึ่ง คนนี้ขึ้นมานั่งก็วินิจฉัยอีกแบบหนึ่ง จะมีปัญหา
ซึ่งแน่นอนว่าใน 3 คนนั้น คนที่เกรงใจนายทักษิณอย่างนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา นั้นเกรงใจแน่นอน แม้แต่ชื่อยังไม่ให้ใส่ในญัตติ หรือแม้แต่คำว่า สทร. ที่ “วันนอร์” อนุมัติไปก่อนหน้านี้ ในวันอภิปรายถ้าใครพูดถึง สทร. แล้วมีคนประท้วงขึ้นมา นายวันนอร์ จะวินิจฉัยอย่างไร ถ้าไม่ให้พูด แล้วทำไมวันก่อนถึงบอกว่าอยู่ในญัตติได้ นี่จะเป็นคำถามที่อาจเกิดขึ้น โดยส่วนตัวมองว่า เวลาวินิจฉัย นายวันนอร์ จะโน้มเอียงถึงนายทักษิณแน่นอน
อีกคนหนึ่งคือ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน คนนี้ก็พรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว ถ้าวินิจฉัยไม่เข้าข้างนายกฯ ก็กลับพรรคไม่ได้ เหลืออยู่คนเดียวเท่านั้นคือ นายภราดร ปริศนานันทกุล จากพรรคภูมิใจไทย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ในพรรคสั่งนายภราดรอย่างไรอีก เพราะฉะนั้นทั้งสามคนต้องคุยในมาตรฐานเดียวกัน
นายเทพไท กล่าวต่อว่า ประธานสภาฯ ต้องออกแรงหน่อย คือการกำหนดวันประชุม โยนไปให้วิป 3 ฝ่ายคุยกันแล้วลงมติ ต่อให้ลงมติร้อยครั้งก็แพ้ร้อยครั้ง เพราะเขา 2 คน 2 ฝ่าย ฝ่ายรัฐบาลกับฝ่าย ครม. ซึ่งฝ่ายค้านมีอยู่ฝ่ายเดียว ทั้งที่ประธานสภาฯ ต้องเป็นคนกำหนดเกม แทนที่จะโยนให้คุยกันเอง ทำให้ต่างคนต่างชิงความได้เปรียบ ประชาชนจะมีส่วนร่วมได้อย่างไร? ถ้าประชาชนไม่มีส่วนร่วมก็ไม่ต้องอภิปรายถ่ายทอดสด ก็ไปปิดห้องแล้วคุยกันสองฝ่าย