พรรคเพื่อไทย ได้มีการสรุปการประชุมสภา เพื่อพิจารณา เรื่องด่วน ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล (น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี) พร้อมอินโฟกราฟิก สรุปประเด็นที่นายกฯ ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาฯโดยมีรายละเอียดดังนี้
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อภิปรายสรุปสุดท้ายของการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลว่า ตลอดระยะเวลา 2 วันของการอภิปราย เชื่อว่าทุกฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มกำลัง
ส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน ส่วนที่มีการกระทบ กระทั่งกันบ้าง ก็คิดเสียว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่เป็นปัญหาต่อการทำงานร่วมกัน
ท่านผู้นำฝ่ายค้านย้ำเรื่องภาวะผู้นำ และการถูกครอบงำของดิฉันหลายครั้ง ก่อนหน้านี้ก็พูดทำนองนี้มาตลอด ที่จริงไม่ใช่แค่ดิฉันที่ถูกพูดว่าโดนครอบงำ ท่านเองก็ถูกพูดถึงว่าโดนครอบงำเช่นกัน แต่ต่างกันตรงที่คนว่าดิฉันถูกครอบงำโดยพ่อ แต่ท่านถูกครอบงำโดยคนที่ไม่ใช่พ่อ
- แต่โดยส่วนตัวดิฉันเคารพ และให้เกียรติท่าน ไม่เคยมองท่านด้วยความรู้สึกเช่นนั้นเลย ระหว่างเราควรสัมผัสได้ถึงความเข้าใจ และเห็นใจกัน เราต่างมาถึงวันนี้เพราะชะตากรรม และการถูกกระทำของพรรคการเมืองที่เราสังกัด หากไม่เกิดชะตากรรมทางการเมือง วันนี้ ดร.ทักษิณอาจจะยังเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ หรือไม่พรรคของท่านอาจยังมีหัวหน้าพรรคชื่อธนาธร แต่เมื่อความจริงเป็นเช่นวันนี้ เราต่างคนก็ต้องเป็นตัวของตัวเอง ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ควรด้อยค่ากันด้วยเรื่องแบบนี้
- การเป็นลูกท่านนายกฯ ทักษิณ ทำให้ดิฉันถูกวิจารณ์ กดดัน ปรามาส และคุกคามต่างๆ ตั้งแต่เป็นนักเรียน นักศึกษา จนถึงเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ดิฉันภูมิใจทุกนาทีที่มีคุณพ่อที่ชื่อ ดร.ทักษิณ ชินวัตรนี้ และไม่คิดว่าเป็นเรื่องเสียหาย ที่จะรับฟังความคิดหรือข้อเสนอแนะจากพ่อมาใช้ในการทำงาน ถ้าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับประชาชน ก็เป็นสิ่งที่ดี
- นักการเมืองที่ถูกยุบพรรคหรือตัดสิทธิ์ทางการเมือง ทุกคนยังเดินหน้าทำงานการเมือง พบปะประชาชนได้ หาเสียงได้ เสนอนโยบายได้ ทำไมต้องยกเว้นท่านทักษิณคนเดียว หรือว่าถูกตัดสิทธิ์ยกกำลังสอง
ในประเด็นเรื่องอุยกูร์ เราไม่มีกฎหมายผู้ลี้ภัย เมื่อมีการลักลอบเข้าเมืองแล้วถูกจับได้ก็ดำเนินคดีตามขั้นตอน ยึดหลักมนุษยธรรม สิทธิมนุษยชน แต่ขังเขาไว้กว่า 10 ปี ประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศแม่ของเขาทวงถาม โดยไม่มีประเทศอื่นขอรับตัวอย่างเป็นทางการ เราก็เรียกร้องให้ทางการจีนรับรองความปลอดภัย ซึ่งเขาก็ยอมทำมาเป็นหนังสือ ถือเป็นพันธสัญญาต่อสังคมโลก เราจึงส่งกลับ และคณะของท่านภูมิธรรมเพิ่งเดินทางไปติดตามเมื่อ 5 วันก่อน ทุกคนปลอดภัยอยู่ที่บ้าน ดิฉันเชื่อว่านี่คือ วิธีที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย และที่สำคัญคือดีที่สุดสำหรับประเทศไทย
- ท่านถามว่าชาวอุยกูร์สมัครใจหรือไม่ ท่านต่อว่ารัฐบาลว่าไม่ทำตามใจชาวอุยกูร์ ดิฉันรับฟัง แต่สิ่งที่ดิฉันต้องคิดเป็นอันดับแรกคือ คนไทยต้องการอะไร และสิ่งใดคือประโยชน์สูงสุดของประชาชนไทย การที่เราส่งพวกเขากลับถิ่นกำเนิด ไปใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยดีกว่าหรือไม่ ดีกว่าที่โดนกักไว้เป็นสิบปี ดิฉันมั่นใจว่าเป็นสิ่งที่ดีกว่าเราขังพวกเขาไว้โดยไม่มีกำหนด ไม่รู้อนาคตที่แน่นอน
- ส่วนที่มีบางประเทศประณามหรือไม่ยอมรับ เราเคารพในทุกความคิดเห็น และเป็นหน้าที่ที่รัฐบาลต้องชี้แจงทำความเข้าใจอย่างครบถ้วนรัดกุม ไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งใดๆ
- ที่ท่านกล่าวหารัฐบาลว่าทำผิดเรื่องนี้ ต้องถามจริงๆ ว่าท่านพูดโดยการเปิดตามองโลกทั้งใบหรือไม่ ท่านเป็นนักสิทธิมนุษยชนมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก หรือสองมาตรฐานเฉพาะกับรัฐบาลนี้
- เท่าที่ดิฉันจำได้ ยังไม่มีพรรคการเมืองไหนมีนโยบายเรื่องผู้ลี้ภัย ท่านจะถือโอกาสใช้เวทีนี้ ประกาศเลยก็ได้นะคะว่า จะทำตามใจตามความต้องการของผู้ลี้ภัยในทุกกรณี หรือมีแนวทางอย่างไร ประชาชนจะได้รับฟัง
ในเรื่องของ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย ตอนเราเป็นฝ่ายค้านด้วยกันก็ลงสัตยาบันร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญ ร่วมกันผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญหลายหนทางแต่ไม่สำเร็จ
- เมื่อเรามาเป็นรัฐบาล ก็ได้แถลงนโยบายเรื่องนี้ต่อรัฐสภา จุดยืนคือแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 เพียงแต่ด้วยข้อกฎหมายที่ซับซ้อน ทำให้การแก้ไขทำได้ยาก มีข้อเห็นต่างในพรรคร่วมรัฐบาล และวุฒิสภา ทั้งเรื่องกฎหมายการทำประชามติ และจำนวนครั้งที่จะทำประชามติ เราก็พยายามเดินไปข้างหน้า
- ท่านเรียกร้องให้ดิฉันใช้ภาวะผู้นำ ที่จริงไม่ต้องเรียกร้องเลยค่ะ เพราะดิฉันทำอยู่ตลอดเวลา มีการหารือกับพรรคร่วมรัฐบาล แลกเปลี่ยนความคิดเห็น แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง จนล่าสุดพรรคร่วมรัฐบาลซึ่งเคยไม่เข้าร่วมประะชุม ก็ลงมติเห็นชอบร่วมกันให้นำเรื่องยื่นศาลรัฐธรรมนูญ
- แม้จะช้าไปบ้างแต่รักษาโอกาสแห่งความสำเร็จไว้ได้ ภาวะผู้นำของดิฉันคือการใช้ความอดทน ใช้เหตุผล ใช้ความจริงใจ มองผลสำเร็จของภารกิจเป็นสำคัญ อาจจะไม่หวือหวา หรืออาจจะไม่ถูกใจท่าน แต่งานเดินหน้า ถ้าจะเอาแบบ“ดันทุรังแต่พังทุกรอบ“ดิฉันไม่ทำแน่นอนค่ะ
มีเพื่อนสมาชิกอภิปรายเรื่องการต่อสู้ของประชาชน ขอเรียนว่ารัฐบาลนี้เคารพในสิทธิ เสรีภาพ และการแสดงออกของทุกฝ่าย เราไม่เคยลืมว่าครั้งหนึ่งเราเคยบอบช้ำ เจ็บปวดขนาดไหน พรรคการเมืองนี้ต่อสู้ร่วมกับประชาชน ยืนเคียงข้างอย่างเปิดเผย ในพรรคเต็มไปด้วยคนที่เคยผ่านสนามการต่อสู้ ภายใต้อุดมการณ์ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีคนเสื้อแดง มีลูกหลานคนเสื้อแดงอยู่ที่นี่ เราอาจไม่ได้เอาหมวก เอาผ้าพันคอมา แต่ทุกอย่างอยู่ในหัวใจเราค่ะ
- ท่านประธานที่เคารพคะ ถ้าคำว่าดีลหมายถึงการเจรจาหาข้อสรุปร่วมกัน การเมืองทุกที่ในโลกต้องดีลกันทั้งนั้น เราตั้งรัฐบาลเพราะพรรคของท่านดีลกับพรรคการเมืองอื่นๆ ไม่ได้ ดีลกับสว.ไม่ได้ เรายกมือโหวตให้แคนดิเดตนายกฯของท่าน ด้วยความเชื่อตามที่ท่านยืนยันว่ารวมเสียงสว.ได้ครบแล้ว ถ้าวันนั้นท่านทำได้ตามที่ท่านพูด การจัดตั้งรัฐบาลก็สำเร็จได้
- ที่ผ่านมาท่านดีลกับเรามาตลอด และเราก็ทำตามดีลนั้น การเลือกตั้งเมื่อปี 2562 พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคอันดับ 1 แต่พอจะโหวตเลือกนายกฯ ท่านมาดีลให้เรายกมือให้แคนดิเดตนายกฯของพรรคท่าน ซึ่งเป็นพรรคอันดับ 3 เราก็ตกลง ทำตามดีล และยกมือให้
การเลือกตั้งปี 2566 ท่านเป็นพรรคอันดับ 1 มาดีลกับเราให้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล เราตอบตกลงแล้วก็ทำตามดีลยกมือให้อีกครั้ง ครั้งแรกไม่ผ่าน ครั้งที่ 2 เราก็ยกมือให้อีก ตั้งแต่พรรคท่านลงเลือกตั้ง เรายกมือให้แคนดิเดตนายกฯของพรรคท่านมาตลอด ทุกคนทุกครั้ง แต่เท่าที่จำได้ท่านไม่เคยยกมือให้แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเราแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งไม่เป็นไร ดิฉันเข้าใจว่าเป็นวิถีทางของการเมือง
- เมื่อท่านตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ เราก็เดินหน้าตั้งรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องปกติ และชอบธรรมตามระบบรัฐสภา เรารู้ดีว่าการตั้งรัฐบาลคราวนี้เส้นทางข้างหน้าคือความยากลำบาก แต่พรรคการเมืองมีภาระหน้าที่ต่อประชาชน เราก็ต้องพยายามสุดกำลังเพื่อผลักดันนโยบายแก้ปัญหาให้ได้
- “ดิฉันเชื่อว่า ไม่มีใครอยากตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา วันนี้เพื่อความชัดเจน และสร้างแนวทางการเมืองแบบใหม่ ท่านก็ควรประกาศให้ชัดไปเลยว่าสมัยหน้าจะร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาลกับใคร พูดให้ชัดตั้งแต่วันนี้ ประชาชนจะได้สบายใจ”