หลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยกคำร้องของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กรณีที่นายทักษิณ ออกจากเรือนจำฯ และเข้ารับการรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล ผิดขั้นตอนกฎหมายหรือไม่ แม้ว่าศาลจะยกคำร้องโดยให้เหตุผลว่านายชาญชัยไม่ได้เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้ แต่ศาลจะทำการไต่สวนเองในวันที่ 13 มิ.ย. คนก็สงสัยว่ามันเคยมีกรณีนี้เกิดขึ้นหรือไม่ และถ้านายชาญชัยไม่ใช่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแล้วจะเป็นใคร
ล่าสุดทีมข่าวพีพีทีวี จึงได้ไปพูดคุยกับ ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็บอกเลยว่าไม่เคยได้ยินกรณีแบบนี้มาก่อน พึ่งจะเคยได้ยินกรณีของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ศาลไต่สวนเอง และที่ศาลไต่สวนเองเพราะอาจเห็นว่า คดีที่นายทักษิณถูกพิพากษาจำคุก 8 ปี ก็มาจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเอง และศาลอาจมีข้อคลางแคลงใจว่าตลอด 6 เดือน ที่นายทักษิณพักรักษาตัวอยู่ชั้น 14 มีอาการป่วยหนักขนาดที่ว่าส่งกลับไปเรือนจำไม่ได้ตลอดจริงหรือไม่ ซึ่งศาลก็ดูจากผู้ร้องเห็นว่ามีประเด็น จึงขอไต่สวนเอง
ดร.ปริญญา ยังบอกว่าตลอด 180 วันหรือ 6 เดือน ที่นายทักษิณรักษาตัวอยู่ชั้น 14 ต้องหมายความว่าอาการที่ถูกส่งตัวมาไม่ดีขึ้นเลยตลอด 6 เดือน จนส่งกลับไม่ได้หรือมีโรคเฉพาะทางที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ทางผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น อธิบดีกรมราชทัณฑ์ แพทย์เจ้าของไข้ โรงพยาบาลตำรวจ ก็เอาหลักฐานมาแสดงให้ศาลเห็น หากศาลเห็นว่านายทักษิณป่วยตลอด 180 วันจริง ก็ไม่ถือว่าเป็นการขัดต่อหมายจำคุก เพราะยกเว้นตามกฎกระทรวง
ส่วนประเด็นข้อกฎหมายที่ยังขัดกันอยู่ระหว่างกฎกระทรวงฉบับนี้กับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือไม่นั้น เป็นอีกข้อหนึ่งแต่กรมราชทัณฑ์ก็บอกได้ว่าทำตามกฎกระทรวงฉบับนี้ แต่ถ้าว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กรมราชทัณฑ์ไม่มีอำนาจส่งผู้ต้องขังออกนอกเรือนจำ มีแต่ศาลที่มีอำนาจในการสั่งแต่มีข้อยกเว้น ตามมาตรา 246 แต่ยังไงก็ต้องขอศาล แต่พอดีกฎกระทรวงฉบับนี้ ก็ออกตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ 2560 ว่าถ้าหากมีอาการปวดที่รักษาตัวไม่ได้สามารถออกกฎกระทรวงมารองรับถึงหลักเกณฑ์และวิธีการส่งตัวไปรักษาข้างนอก
ดร.ปริญญา ก็มองว่า กฎกระทรวงฉบับนี้มีปัญหาอยู่แล้วว่าให้อำนาจกับอธิบดีกรมราชทัณฑ์มากเกินไปหรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาเพราะศาลพิพากษาจำคุก ปลัดกระทรวงและ รัฐมนตรีมีหน้าที่แค่รับทราบ แต่อธิบดีสามารถใช้อำนาจส่งตัวไปได้
ส่วนถ้านายชาญชัยไม่ใช่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย แล้วใครคือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียนั้น ดร.ปริญญา มองว่า เป็นตัวของอัยการ กับ ป.ป.ช. เพราะเป็นเจ้าของคดีตั้งแต่แรกส่วนการที่ไม่ไปยื่นคำร้องเองนั้น ก็อาจจะมองได้ว่าทั้งป.ป.ช.และ อัยการอาจไม่ทราบเรื่อง หรือทราบเรื่องแล้วไม่รู้จะทำยังไง ศาลถามว่ามีคนสงสัยแต่ทำไมหน่วยงานถึงไม่สงสัยบ้าง ป.ป.ช.กับอัยการก็ต้องมาชี้แจง
และเรื่องนี้จะส่งผลดีหรือผลเสียต่อนายทักษิณนั้น ก็อยู่ที่ว่าป่วยจริงจนไม่สามารถส่งกลับกรมราชทัณฑ์ได้ขณะนั้นหรือไม่ หากป่วยจริงมีเอกสารชี้แจงครบก็เป็นผลดีต่อตัวนายทักษิณ เพราะเรื่องที่สังคมสงสัยก็จะจบเนื่องจากศาลไต่สวนแล้ว และหากมีเอกสารมาชี้แจงครบไม่ว่าจะเป็น เวชระเบียนก็ตาม แสดงว่ากรมราชทัณฑ์ไม่ได้ฝ่าฝืนหมายจำคุกของศาล นายทักษิณก็จะใสสะอาด
ส่วนในทางตรงข้ามหากไม่มีหลักฐานมาแสดงหรือมีข้อโต้แย้งไม่มีความน่าเชื่อถือ คนแรกที่ตกที่นั่งลำบากคืออธิบดีกรมราชทัณฑ์ และคราวนี้จะมาอ้างสิทธิผู้ป่วยก็ไม่ได้เพราะศาลจะต้องขอดูเอกสาร
เมื่อถามว่าหากกรมราชทัณฑ์ ไม่มีหลักฐานเพียงพอมาแสดงในทักษิณจะต้องปรับเข้าคุกหรือไม่ ดร.ปริญญา ระบุว่า ก็จะเป็นในประเด็นต่อไปเพราะไม่เคยมีกรณีนี้มาก่อน ฮักจำคุกจึงไม่ครบ 6 เดือนศาลฎีกาก็จะมีคำสั่งต่อไป
สุดท้าย ดร.ปริญญา ก็มองว่าเรื่องนี้ก็ขอให้ว่ากันไปตามข้อเท็จจริง ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และขอให้รอดูในวันที่ 13 มิ.ย. นี้ เพราะเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นต้องติดตาม