จากกรณีสมาชิกวุฒิสภา (สว.) 55 คนที่ได้รับการนัดเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 70 ประกอบ มาตรา 36 มาตรา 77(1) และมาตรา 62 ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งได้สั่งให้ดำเนินการไต่สวนเหตุอันควรสงสัย หรือความปรากฏดังกล่าวโดยมอบหมายให้คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนส่วนกลางคณะที่ 26 ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งตามคำสั่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการไต่สวน
ทั้งนี้ เป็นการเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาและเข้าชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาระหว่างวันที่ 19-21 พฤษภาคม 2568 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ อาคาร B กรุงเทพฯ โดยพบว่า สว. ที่ถูกเรียกนี้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่ม สว.ที่นัดให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 มีรายชื่อ สว. จำนวน 22 คน ยกตัวอย่างเช่น พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์, นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี, นายมงคล สุระสัจจะ
และนายอลงกต วรกี เป็นต้น
ส่วนกลุ่มสอง สว. ที่นัดให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 มีรายชื่อจำนวน 22 คน ยกตัวอย่างเช่น นายสืบศักดิ์ แววแก้ว, พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพ็ชร์, นายจิระศักดิ์ ชูความดี, นายพิศูจน์ รัตนวงศ์ และนายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร เป็นต้น
และกลุ่มสาม สว. ที่นัดให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหา ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 มีรายชื่อจำนวน 11 คน ยกตัวอย่างเช่น นายวิรัตน์ รักษ์พันธ์, พล.ต.ท.ยุทธนา ไทยภักดี, นายขวัญชัย แสนหิรัณย์, นางอจลา ณ ระนอง, นายโชคชัย กิตติธเนศวร และนายศุภชัย กิตติภูติกุล เป็นต้น
สำหรับหนังสือเรียกให้ชี้แจงมีการระบุชัดเจนว่าหาก สว. ที่ได้รับหนังสือ ไม่มารับทราบและไม่ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาจะถือว่าสละสิทธิ์ในการชี้แจงแสดงหลักฐานหรือให้ถ้อยคำแก้ข้อกล่าวหา
มีความเห็นเพิ่มเติมมาจาก นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย ว่า มี สว. บางคนยืนยันจะไปรับทราบข้อกล่าวหาจาก กกต. เพียงองค์กรเดียว ไม่ไปรับทราบข้อกล่าวหากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทั้งที่ข้อเท็จจริง กกต. ดีเอสไอ และ ป.ป.ง. ร่วมกันทำคดีดังกล่าวขึ้นมา
เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้กลับเลือกที่จะไม่เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของบางหน่วยงาน และยังพูดทำนองว่า เป็นเกมการเมืองจากฝ่ายตรงข้าม คอยกลั่นแกล้ง อย่างนี้สังคมจะเชื่อมั่น เชื่อถือการทำงานของพวกท่านได้อย่างไร ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิจากสภาสูงที่คอยตรวจสอบ ถ่วงดุล
นายพร้อมพงศ์ยังกล่าวว่า ขอให้กำลังใจการทำงานอย่างหนักของ กกต. ดีเอสไอ ป.ป.ง. ร่วมกันตรวจสอบพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อไขไปสู่ความกระจ่าง
แท้จริงแล้วการสรรหา สว.ที่ผ่านมา มีการล็อกสเปก สมประโยชน์จากการเมืองบางขั้ว มีการฮั้วกันเป็นขบวนการหรือไม่ เชื่อว่าอีกไม่นาน หลักฐานความจริงต่าง ๆ จะปรากฏ ขอยกสุภาษิตย้ำเตือน สว.ว่าทองแท้ ย่อมไม่กลัวไฟฉันใด คนดีบริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องกลัวการตรวจสอบ การที่หน่วยงานไหน ๆ คอยตรวจสอบพวกท่าน ไม่ต้องกังวล ยืดอก เดินหน้าเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบทุกองค์กร พิสูจน์ความจริงให้เป็นที่ประจักษ์น่าจะดีกว่าการคอยมาตั้งแง่ สงสัยในกระบวนการทำงานขององค์กรเหล่านั้น
กกต. ดีเอสไอ ป.ป.ง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรเช็กบิลให้ไปถึงต้นตอของขบวนการและผู้เกี่ยวข้อง ว่ามีใครเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้บ้าง เนื่องจากประเด็นนี้สังคมให้ความสนใจ ทำให้เป็นคดีตัวอย่าง เป็นบรรทัดฐาน นำตัวผู้ที่เกี่ยวข้องทำผิดมาลงโทษตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคม
ขณะที่ นายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีต สว. โพสต์เฟซบุ๊ก กล่าวถึงกรณีนี้ว่า การออกหมายเรียกเพื่อดำเนินคดีสะสางปัญหาการฮั้ว สว.ต้องชัดเจนและรวดเร็ว ไม่ว่าจะ 6 คน 60 คน หรือมากกว่า 130 คน หากผิดต้องเอาออกจากตำแหน่งและเอาติดคุกให้หมด รวมทั้งคืนเงินที่รับไปแล้วด้วย และเรื่องการฮั้ว สว.ไม่ว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และตำรวจ ต้องกล้าหาญ รับผิดชอบต่อหน้าที่ เอาคนผิดมาลงโทษให้ได้
การยึดสภา สว.ให้อำนาจไปอยู่กับคนบางกลุ่ม เท่ากับเป็นการยึดอำนาจสูงสุดของประเทศ และต่อไปการตรวจสอบจะล้มเหลว จะมีแต่การคอร์รัปชั่นกันอย่างมโหฬาร ใช้อำนาจแบบไม่มีขอบเขตและไม่มีใครยับยั้งได้ คนบางคนบางกลุ่มจะไม่กลัวกฎหมาย และจะใช้อำนาจทำลายล้างฝั่งตรงข้าม เชื่อว่าบ้านเมืองจะอยู่ไม่ได้ หากปล่อยให้คนกลุ่มเดียวครองเมือง ในที่สุดประชาชนจะลุกฮือ
นายเสรีกล่าวอีกว่า จึงจำเป็นต้องเอาผิดกับคนที่เป็นต้นตอของปัญหา เพราะหากปล่อยไปอย่างนี้บ้านเมืองล่มสลายแน่นอน