วันที่ 6 ตุลาคม 2568 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะแกนนำพรรคภูมิใจไทยภาคใต้ กล่าวถึงกรณีที่ขณะนี้บ้านใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้จะยังอยู่กับพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ ว่า ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์จะมีการเลือกหัวหน้าพรรคในวันที่ 18 ตุลาคม โดยหลังจากมีการเลือกหัวหน้าพรรคเสร็จแล้ว ก็ยังมีความมั่นใจว่าคนที่ตนได้ไปทำการหารือและเชิญชวน ก็ยังคงยืนยันว่าจะมาร่วมทำงานการเมืองกับพรรคภูมิใจไทย
เมื่อถามว่าการเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย นายพิพัฒน์ บอกว่า บางคนยังเป็น สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์และยังไม่ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ จึงต้องทำหน้าที่ให้สมบูรณ์แบบ ซึ่งขณะนี้ยังมี สส. ของพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในกลุ่มที่จะมาร่วมทำงานการเมืองกับพรรคภูมิใจไทย จึงมีความจำเป็นต้องขอชะลอไว้รอให้การเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ผ่านพ้นไปก่อน
ผู้สื่อข่าวย้ำถามว่า หากวันที่ 18 ตุลาคมนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้ตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ดีลที่คุยไว้จะล่มหรือไม่ นายพิพัฒน์ บอกว่า เพื่อนๆที่คุยกันไว้ก็มีความมั่นใจ ว่าจะมาร่วมทำงานกับพรรคภูมิใจไทย แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละคน แต่ในส่วนของตัวเองก็ค่อนข้างมีความมั่นใจ จากการที่เราได้หารือกัน
ส่วนมีความมั่นใจว่าพรรคภูมิใจไทยจะคว้าเก้าอี้ สส. ภาคใต้ได้มากที่สุดหรือไม่ นายพิพัฒน์ บอกว่า ตนไม่สามารถตอบอะไรได้ แต่คงต้องถามประชาชนทุกคนว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไป ว่าจะเลือกใคร ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย แจ้งให้ทราบแล้วว่าในช่วงระยะเวลา 4 เดือน พวกเราอาสาเข้ามาแก้ปัญหาให้ในหลายด้าน และจะทำให้ดีที่สุด เร็วที่สุด จากนั้นจะคืนอำนาจให้กับคนไทยทุกคน เพื่อให้โอกาสในการตัดสินใจว่าในการเลือกตั้ง ในช่วงต้นปี 2569 ว่าประชาชนจะเลือกพรรคใดเข้ามาบริหารประเทศ โดยในช่วงระยะเวลา 4 เดือนนี้รัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเป็นเสียงข้างน้อยจะพยายามทำงานให้เร็วและดีที่สุด และสิ่งสำคัญที่สุดคือปัญหาเรื่องปากท้อง / การแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ต้องพยายามทำให้สำเร็จภายใน 4 เดือนนี้ให้ได้
เมื่อถามว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคภูมิใจไทย จะมีนโยบายอะไรที่จะผลักดันในพื้นที่ภาคใต้อย่างไรบ้าง / นายพิพัฒน์ บอกว่า ขณะนี้ทางคณะกรรมการบริหารพรรคอยู่ระหว่างร่างนโยบายของแต่ละภูมิภาค โดยเฉพาะในเรื่องของเศรษฐกิจก็จะมีความแตกต่างกันไปแต่ละภูมิภาค เช่น พื้นที่ภาคใต้ก็จะมีเรื่องของยางพารา ปาล์ม และผลไม้ตามฤดูกาล ส่วนภาคกลาง และภาคอีสานก็จะมีเรื่องของข้าว แต่โดยเฉพาะภาคอีสาน ก็จะเน้นในเรื่องของมันสำปะหลัง และอ้อย รวมถึงในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จะนำเสนอนโยบายอย่างไรก็ต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการบริหารพรรค ซึ่งเราคงไม่ได้ประกาศในภาพรวมว่าเศรษฐกิจของไทยในการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะเป็นลักษณะเหมาเข่ง