เป็นพระเอกหนุ่มสุดฮอตที่กระแสแรงดีไม่มีแผ่ว จนขึ้นแท่นเป็นขวัญใจแฟนละครและมีแฟนคลับทั่วบ้านทั่วเมือง สำหรับ เข้ม - หัสวีร์ ภัคพงษ์ไพศาล
ดีกรีความเปรี้ยงปรอทแตกขนาดนี้ “พีพีทีวี นิวมีเดีย” ไม่พลาดคว้าตัว มาพูดคุยทั้งเรื่องราวชีวิตสุดพลิกผันในอดีต และล้วงสเปกว่าที่ลูกสะใภ้ของคุณแม่ในอนาคต ที่เขาบอกชัดว่า “ผมชอบใคร แม่ก็ชอบด้วย”!!!
เริ่มพูดคุยเรื่องผลางานกันก่อน ฝีมือดีสอบผ่านทั้งบทแนวดราม่าและคอเมดี้ สำหรับ “เข้ม” แบบไหนยากกว่ากัน?
“จริงๆความยากมันต่างกัน ถ้าดราม่าก็จะมีปมให้เราต้องเครียดอยู่ตลอดเวลา ส่วนคอเมดี้ก็จะยากในเรื่องของจังหวะการเล่น ยากแตกต่างกัน แต่ผมชอบเล่นทุกบทบาทนะ ชอบเล่นอะไรใหม่ๆ ท้าทายดี อย่างเรื่อง ‘เขยบ้านไร่ สะใภ้ไฮโซ’ เป็นคอเมดี้เรื่องแรกที่ได้เล่นตั้งแต่ผมทำงานมาเลย กระแสหลังจากละครออนแอร์ไปแฟนๆก็ชอบครับ ก็ดีใจ ถือเป็นกำลังใจให้กับการทำงานของเราในครั้งต่อๆไป กับเรื่องนี้ผมก็ทำการบ้านหนักมากๆ คนอาจจะมองว่าผมเล่นเป็นตัวเอง ความทะเล้น ความสนุกสนาน อาจจะใช่ แต่จริงๆตัวผมกับตัวละครก็มีมุมที่ค่อนข้างจะแตกต่างกัน สำหรับการมาร่วมงานกับ “มุกดา” ในครั้งนี้ ทำงานกันค่อนข้างง่ายเป็นความโชคดีที่เคยร่วมงานกันมาก่อน ไม่ต้องปรับหรือเริ่มต้นใหม่ และที่ผ่านมาเราไม่ได้ห่างหายกันไปนาน ยังทำงานด้วยกันมาตลอด เจอกันอยู่บ่อยๆเรื่อยๆ (ยิ้ม)”
ฐานแฟนคลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ?
“ก็อยากจะขอบคุณแฟนคลับทุกคนที่เข้ามาอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน ทั้งบ้านเข้ม บ้านคู่ และบ้านต่างๆที่เข้ามาซัพพอร์ตอยู่ตลอดเวลา ถ้าสามารถตอบแทนอะไรได้ก็อยากจะตอบแทนครับ แต่เนื่องด้วยสถานการณ์แบบนี้ สิ่งที่อยากมอบให้คือความเป็นห่วงใยและกำลังใจในดูแลตัวเอง ก็ดูแลตัวเองให้ดีกันนะครับ เป็นห่วงทุกคนมากๆนะครับ (ยิ้ม)”
“เข้ม” เป็นพระเอกคนนึงที่หลายคนชื่นชมฝีไม้ลายมือ แต่จริงๆแล้วเมื่อก่อนไม่เคยคิดว่าจะได้มาทำงานตรงนี้ได้?
“ครับ เพราะการมาทำงานในวงการบันเทิงมันห่างไกลมาก ถามว่าตอนที่ถูกทาบทามเข้าวงการบันเทิงคิดเยอะไหมเหรอครับ ผมแค่มีความคิดว่าอยากจะทำงานที่สามารถหาเงินมาดูแลครอบครัวได้ ช่วงที่ผมเข้ามาตอนนั้น เป็นช่วงแฟชั่นโชว์ยังบูมๆอยู่ มีเดินแบบทุกอาทิตย์ รับเงิน 3,000 - 4,000 บาท ก็เป็นงานที่ง่ายสำหรับผม เดินๆจบ ไม่ต้องพูด จากนั้นเริ่มได้รับโอกาสมาเรื่อยๆ เล่นเอ็มวีบ้าง โฆษณาบ้าง
ซึ่งผมไม่เคยคิดว่าจะได้มาเป็นพระเอกละคร เมื่อก่อนผมฟันหลอ มีแก้ม อ้วน มันค่อนข้างที่จะไกลตัวผมจริงๆ สำเนียงการพูดอีก พูดแล้วโดนล้อ ยิ่งทำให้ผมไม่อยากคุยกับใครเลย พอพูดไม่ชัด มีตำหนิ งานในวงการยิ่งไกลตัว แต่พอเริ่มมีโอกาส บวกกับผมชอบเรียนรู้และเป็นคนมุทะลุมาก ถ้าอยากรู้อะไรต้องไปให้สุดก็ลองดูทำงานในวงการสักตั้งนึง ผิดถูกลองดู ลุยไป ชีวิตเกิดมาครั้งนึงต้องรู้ให้หมด ตอนนี้ก็สนุกและเพลินดีนะ พอทำงานก็แฮปปี้มาก (ยิ้ม)”
เจอการแข่งขันสูง โดนเปรียบเทียบ?
“สำหรับเรื่องนี้ ผมไม่ค่อยคิดมาก และค่อนข้างเป็นคนปล่อยวาง เรารู้ตัวเองดีที่สุด ผมคงบังคับให้คนมาชอบผมไม่ได้ ผมก็เป็นตัวของตัวเอง ซื่อๆแบบนี้ และผมไม่เคยอิจฉาคนอื่นหรือนินทาคนอื่นเลย มีอะไรจะพูดตรงๆ ทุกคนคือคนทำงานด้วยกัน เราคือทีมเดียวกัน ผมสนิทตั้งแต่ผู้จัดจนถึงทีมงาน จะไม่มีอีโก้กับใคร ผมชอบบรรยากาศสนุกสนานครับ”
ช่วงนี้ดูผอมลง?
“เพราะช่วงโควิด ผมได้มีเวลาปรับปรุงตัวเอง ได้ทบทวนตัวเองในการทำงาน ในเรื่องของการใช้ชีวิตต่างๆ เรื่องลดน้ำหนัก ดูแลตัวเองก็ได้เวลามาเพราะก่อนหน้านี้มักพูดเสมอว่าไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ไม่มีเวลาออกกำลังกาย แต่พอมีเวลาผมก็ทำ ทำแล้วมันเกิดผลด้วย ลดไป 10 กิโล
ผมไม่ได้อ้วน ปกติ แต่พอออกกล้องมันบวมมาก ก่อนหน้านี้ผมหนัก 85 กิโล เลยลดลงมาเหลือ 75 กิโล ก็เป็นความตั้งใจที่อยากจะลดครับ พอมันมีเวลาก็ไม่มีข้ออ้างที่จะบอกกับทุกคนว่าไม่มีเวลาออกกำลังกาย ผมอยากให้ทุกคนเห็นว่าผมพัฒนา จากที่เคยมีจุดบกพร่องตรงนี้ ผมตั้งใจมากที่จะลดน้ำหนัก เพราะมีคนทักผมก่อน แล้วก็มาสังเกตตัวเอง จริงๆอยากมีร่างกายแข็งแรงเอาไว้สู้กับโควิด
แต่พอออกกำลังกายมาสักพักคนเริ่มทักตัวบางลง ลดน้ำหนักได้เกินคาดเลย การลดน้ำหนักเป็นอะไรที่ยากมากสำหรับคนที่ชอบกินอย่างผม ช่วงที่ออกกำลังกายก็ควบคุมอาหารหนักหน่อย ช่วงแรกๆ จะหงุดหงิดหน่อย มีอาการโหย แต่ตอนนั้นไม่ได้ทำงาน พอผ่านไป 2 อาทิตย์ร่างกายปรับตัวได้ ก็เข้าที่มาเรื่อย จนตอนนี้ผู้จัดการทักว่าซูบเกินไปแล้ว ต้องเพิ่มเป็นมวลกล้ามเนื้อ
ถามว่าจะปั้นกล้ามไหมเหรอครับ (ยิ้ม) ช่วงปิดกล้องอาจจะต้องสร้าง เพราะตอนนี้เพื่อนผม “ยูโร” (ยูโร ยศวรรธน์) นำหน้าไปแล้ว นอกจากแข่งกับตัวเอง ก็ยังต้องแข่งกับเพื่อนด้วย เพราะเรามีเดิมพันกัน ใครมีร่อง 11 ก่อนคนนั้นชนะ (หัวเราะ) เป็นอะไรที่ยากมาก และตอนนี้ยูโรออกกำลังกายเอาเรื่องเลย สักวันทุกคนจะได้เห็นเข้มกับยูโรโชว์ร่อง 11 ต้องมีให้ได้เห็นๆ (หัวเราะ)”
กับชีวิตส่วนตัว “เข้ม” เป็นคนที่รักครอบครัวมาก แพลนเป้าหมายของครอบครัววางไว้ยังไง?
“ที่ผมให้ความสำคัญกับครอบครัว คือก่อนหน้านี้ผมเคยขาดความอบอุ่นจากครอบครัว เพราะว่าผมเป็นเด็กเกเรช่วงนึง หันหลังให้ครอบครัว และพอเราสามารถดูแลตัวเองได้ และความอบอุ่นของครอบครัวกลับมา เลยทำให้ผมรู้สึกว่า สิ่งแรกที่ผมจะทำคือทำให้ครอบครัวมีความสุขก่อน ก่อนจะให้คนรอบข้าง ถ้าคนในครอบครัวมีความสุขแล้ว ผมก็จะให้เพิ่มกับคนรอบข้าง พี่น้อง แฟนคลับ คนทำงานด้วย ผมให้ความสำคัญกับครอบครัวมากๆ เพราะผมโตขึ้นทุกวัน คนในครอบครัวก็แก่ขึ้นทุกวัน ผมไม่อยากใช้คำว่า รู้งี้ทำแบบนี้ดีกว่า ผมไม่อยากเสียใจกับคำว่า “รู้งี้” ผมเลยทำให้ครบเลย จะได้ไม่พูดคำนี้
และแพลนของผมตอนนี้ คือจะเก็บเงินส่วนนึงไปทำธุรกิจให้ครอบครัวได้ดูแล อยากทำคาเฟ่ ร้านอาหารให้พี่สาวที่ จ.บึงกาฬ บ้านเกิดของผม และจะสร้างบ้านสักหลังให้ทุกคนได้มาอยู่ด้วยกัน ถ้าสถานการณ์อะไรดีขึ้น 2 ปีก็น่าจะเสร็จ เพราะตอนนี้เริ่มแล้ว ส่วนอีกความฝันคืออยากจะพาตากับยายไปเที่ยวต่างประเทศ อยากพาไปเห็นหิมะสักครั้งนึง จริงๆอยากพาไปสวิตเซอร์แลนด์ แต่คงไกลไปสำหรับท่าน คงไปแค่ญี่ปุ่นก่อนครับ (ยิ้ม)”
สาเหตุของความเป็นเด็กเกเร?
“ผมออกจากบ้านมาตั้งแต่อายุ 14-15 ปี ช่วงนั่นติดเพื่อนด้วย ไม่มีที่ปรึกษา พอพ่อกับแม่แยกทางกัน ก็ไม่รู้จะปรึกษาใคร มีพี่สาว พี่สาวก็มีครอบครัวก็ไม่อยากจะรบกวนเขา พ่อก็หาย แม่ก็หาย และด้วยความคิดของผมเองด้วย ซึ่งจริงๆเขาไม่ได้หาย เขาพยายามติดต่อผมตลอด แต่ผมเลือกที่จะไม่ติดต่อกับใครเลย
คือผมมีครอบครัวที่อบอุ่นมากๆจนถึงอายุ 10 ขวบ ตอนนั้นไฟในชีวิตสว่าง จนวันที่พ่อกับแม่แยกทางกันเหมือนไฟมันดับลง ผมออกไปหาเพื่อน เริ่มทำงาน รับจ้างทั่วไป รับจ้างขนฟาง เกี่ยวข้าว แข่งเรือรับจ้าง ได้ค่าจ้าง 150-200 บาท ก็เยอะสำหรับผมแล้วในตอนนั้น ผมรู้สึกเคว้ง อย่างที่บอกว่าผมคิดไปเองว่าไม่มีที่ปรึกษา ทั้งๆที่จริงแล้วมี เพราะครอบครัวซัพพอร์ตผมนะ แต่ผมเองที่เลือกจะเกเรเอง และผมไม่อยากขอเงินใคร”
จุดพลิกชีวิตของ “เข้ม”?
“ผมเคยเกือบตาย ไม่ได้กินข้าว 3 วัน ไม่ได้คุยกับครอบครัว และตอนนั้นมีศักดิ์ศรีว่าจะไม่ขอใคร คือตั้งแต่วันที่ออกมาทำงานก็ไม่ได้ติดต่อใครเลย ตอนนั้นสิ่งแรกที่นึกถึงคือใบหน้าของแม่ แล้วก็นึกถึงความสะดวกสบาย ความอบอุ่นในครอบครัวมันย้อนกลับมา อยู่บ้านมีข้าวกิน มีความอบอุ่นให้ แลกเปลี่ยนความคิด ตาถามสารทุกข์สุขดิบ การเรียนเป็นยังไง แต่ในวันนั้นเราไม่มี เราไม่ได้หันหน้าหาครอบครัว ผมเอาตัวเองออกมา พอมันถึงจุดนั้นผมรู้สึกว่ามันไม่ไหวแล้ว ใกล้จะตายแล้วเลยโทร.หาแม่ หลังจากที่ไม่ได้คุยกันมา 7 ปี บอกแม่ว่าไม่ไหวแล้ว ผมไม่ได้กินข้าวเลย
หลังจากที่คุยกับแม่ผมรู้สึกวิ้ง สมองไม่ได้คิดอะไรเลย รู้แค่ว่าคงต้องตายแล้ว ร่างกายมันเย็นขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้กินข้าว มันโหยมากๆ ตอนนั้นแทบจะไม่มีความรู้สึกอะไรแล้ว นอกจากภาพทุกอย่างที่มันย้อนกลับเข้ามาในความรู้สึกเรา พอได้คุยกับแม่ เขาถามว่าให้แม่กลับไปไหม แม่บอกให้ไปขอข้าวคนอื่นกิน เอาชีวิตตัวเองให้รอดในวันนี้ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่กลับเลย
ตอนนั้นผมชามาก กำแพงศักดิ์ศรีมันพังลง ไม่รู้อะไรที่ทำให้ผมตัดสินใจโทร.หาแม่ นอกจากความตายที่กำลังจะเกิดขึ้น มันมีแค่ 2 ทางที่จะเกิดขึ้นคือ “ตาย” กับ “รอด” เลยคิดว่าก่อนตายเลยโทร.หาแม่ก่อน เพราะผมพูดไม่ดี ทำไม่ดีกับแม่ในช่วงที่เราไม่ได้คุยกัน ก็คงเป็นความตายที่เลือกให้ผมได้คุยกับแม่ ซึ่งคนแรกที่รู้ว่าผมจะตายคือคนแรกที่ผมเลือกไม่คุยกับเขาในวันนั้นก็คือแม่
หลังจากนั้นผมจึงตั้งใจว่า สิ่งที่เคยขาดพอได้กลับมาก็ต้องดูแลให้ดีที่สุด พอได้เจอกัน ผมสับสน ผมงงมาก ไม่เคยได้เจอ ไม่เคยได้คุย ไม่เคยคิดถึง พอเจอกันผมก็ทำตัวไม่ถูก แต่ก็ก้มลงกราบและบอกขอโทษกับแม่ ร้องไห้พรั่งพรู จริงๆก็ร้องตั้งแต่ตอนที่คุยโทรศัพท์ครั้งแรกแล้ว หลังจากนั้นเลยทำให้ผมรักแม่มาก แม่คือที่สุดในชีวิตผมแล้ว ผมเลยไม่จะไม่ทำให้แม่ไม่สบายใจ ถ้าทำผมจะโกรธตัวเองมาก ผมอยากจะเติมทุกช่วงวินาทีคืนให้แม่ให้ได้มากที่สุดเท่าที่ผมจะคืนได้ ทำงานเสร็จผมจะรีบกลับบ้านไปหาแม่ ไปหอม ไปกอด ไปอ้อนแม่ก่อนนอน
ผมอยากจะเป็นตัวอย่าง ถ้าเด็กในยุคสมัยนี้ คุณจะเดินหนีครอบครัว ลองดูชีวิตผมสิ่งที่คุณมีเป็นอะไรที่อบอุ่นมากๆ ไม่สามารถที่จะหาได้จากที่ไหนแล้ว ทั้งเรื่องของความอบอุ่น รอยยิ้มที่บริสุทธิ์ที่สุด ความสุขที่มากที่สุดคุณจะหาได้ยากมากจากที่อื่น แต่มันจะมีที่ครอบครัวของเราเอง”
ความภูมิใจที่ได้ทำให้ “แม่” อย่างที่ตั้งใจเอาไว้คือเรื่องอะไร?
“สิ่งที่ทำผมว่าผมทำให้แม่เกือบครบแล้ว ผมซัพพอร์ตตากับยาย อยากได้อะไรผมให้หมด อยากได้รถ ผมซื้อให้ อยากได้ใบปริญญา ผมก็เรียนจบให้แล้ว เพิ่งจบเลย ครบทุกอย่าง ตากับยายมีความสุข แม่ผมก็มีความสุข มันก็ยิ่งบวกกันเข้าไป อยากได้อะไรขอแค่บอก ความฝันตามีไม่กี่อย่าง เมื่อก่อนตาเป็นคนประหยัดมากๆ เวลาเห็นคนขี่จักรยานผ่านหน้า เขาก็จะมองคนมีรถแล้วบอกตัวเองว่าสักวันเขาก็คงมี ก็ให้กำลังใจตัวเอง
วันนี้ผมก็ซื้อให้แม้เขาจะอายุเยอะแล้ว และอีกอย่างคือใบปริญญา ตาไม่สามารถจะส่งลูกตัวเองเรียนจบได้ แต่สามารถส่งหลานทุกคนเรียนได้ ผมก็เลยตั้งใจทำให้ฝันของตาสำเร็จ คือการได้รับปริญญาของหลาน ตอนที่บอกตาว่าเรียนจบแล้ว แกบอกว่าเหมือนได้ขึ้นสวรรค์แล้ว (ยิ้ม) ขึ้นมาครึ่งของสวรรค์แล้ว คุณยายก็หอมก็กอดตลอด ส่วนแม่จริงๆทุกวันนี้ท่านไม่อยากได้อะไรแล้ว ขอแค่สุขภาพผมดีก็พอ เพราะผมทำงานหนักทุกวัน สิ่งที่เขาห่วงคือสุขภาพของผม”
ถ้าวันนึง “เข้ม” มีครอบครัว?
“ผมวางไว้แล้วครอบครัวคือที่หนึ่ง ผมจะต้องให้ความสำคัญและให้ความอบอุ่นกับครอบครัวมากๆ เพราะผมผ่านเรื่องราวชีวิตวัยเด็กมาค่อนข้างโหด”
ความรักในแบบของ “เข้ม”?
“เรื่องความรักผมก็ยังสงสัยกับตัวเองเหมือนกัน ถามว่ามีเข้ามาไหม มันก็มีเข้ามาเหมือนกัน แต่ผมรู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะมีใคร ยังห่วงครอบครัว ห่วงในเรื่องของการทำงานของตัวเอง จนทำให้ผมไม่รู้สึกอินกับความรักใจช่วงนี้ แต่ถ้ามีคนเข้ามาซัพพอร์ตจิตใจได้ก็คงจะดี ด้วยความที่เป็นมีโลกส่วนตัวสูง เขาอาจจะไม่เข้าใจในส่วนที่เราเป็น บางเวลาที่ผมเหนื่อยมากๆ ก็อาจจะไม่ได้เทคแคร์ หรือว่าคุยกับเขาได้ ก็เลยยังไม่มี ด้วยความติสท์ของตัวเอง ผมเป็นคนติสท์มาก ถ้าออกมาข้างนอกผมจะสนุกสนาน แต่พอกลับบ้าน ผมก็จะเงียบๆ ไม่พูดเกือบเดือน นั่งๆนอนๆ ทำนู้น ทำนี่ ยิ่งโตขึ้น ก็จะมองในเรื่องของความพอดีในการใช้ขีวิต จะไม่ได้หลุดโลกเหมือนแต่ก่อน”
ถ้าเจอคนที่ถูกใจจะเข้าไปหาไหม?
“ถ้าให้จีบก็จีบเป็น แต่ไม่กล้า เพราะกลัวว่าจะทำให้เขารู้สึกไม่ดีกับเรา ผมกลัวตัวเองผิดหวัง”
ว่าที่ลูกสะใภ้ของแม่ต้องเป็นยังไง?
“ขอเป็นคนที่สบายๆ เป็นคนที่เข้าใจผม เข้าใจว่าช่วงนี้เราต้องการเขา และเราก็ต้องเข้าใจในช่วงเวลาที่เขาต้องการเราด้วยเช่นกัน ต้องพยายามทำให้มันบาลานซ์กันถึงจะเป็นคนๆเดียวกันได้ ปรับจูนกันไปเรื่อยๆ ถ้าเข้ากับผมได้ก็เข้ากับแม่ได้ เพราะผมกับแม่นิสัยเหมือนกัน คือผมไม่ได้ปิด ก็เข้ามาได้ ถ้าคุณรับได้ เพราะการทำงานของผมมันทำให้อารมณ์ค่อนข้างสวิงไปตามการทำงาน ถ้าเลิกงานมาเจอคนงอแงใส่ก็คงไม่ไหวเหมือนกัน ขอแค่เข้าใจกับการทำงานและเข้าใจครอบครัวผมก็พอแล้ว ส่วนจะเป็นคนนอกหรือในวงการไม่จำเป็น แต่ตอนนี้ใช้ชีวิตโสดๆกันไปก่อน (ยิ้ม)”