เปิดประวัตินักร้องเสียงจริงที่ชนะใจ 4 โค้ชในสัปดาห์ที่สาม “The Voice 2018”


โดย PPTV Online

เผยแพร่




ยิ่งแข่งขันก็ยิ่งทวีความเข้มข้นมากขึ้นเป็นลำดับ สำหรับ “เดอะวอยซ์ 2018 เสียงจริง ตัวจริง” ซึ่งหลังจากผ่านสัปดาห์ที่สามมายังไม่ทันหมาด หลายคนก็ยังคงความประทับใจเหล่าบรรดาผู้เข้าแข่งขันในรอบ Blind Audition อีพีล่าสุด ว่าแล้วเราก็ขอนำเรื่องของแต่ละคนมาเล่าให้ได้ทราบกันแบบขอสังเขปเช่นเคย

รายแรกกับชายหนุ่มวัย 21 จากนราธิวาส “เป็ด-มนต์สิทธิ์  สวนศรี”  ที่สร้างความสนใจจากเหล่าโค้ชได้ทันทีที่เพลง “เกลียดห้องเบอร์ 5” ดังขึ้น เขาได้รับการปลูกฝังเรื่องการร้องเพลงมาจากคุณพ่อ ที่ร้องเพลงให้ฟังตั้งแต่เกิด พออายุ 5 ขวบ เริ่มร้องจริงจัง ชอบร้องแนวลูกทุ่งตามคุณพ่อ ก่อนที่จะกลายเป็นนักร้องของโรงเรียนตั้งแตอนประถม มัธยม เรื่อยมาจนถึงปวช เนื่องจากอาจารย์ที่รับรู้ถึงความสามารถด้านนี้ของเขาก็จะบอกต่อ ๆ กัน

อย่างไรก็ตามพอจบ ปวช. ก็ต้องออกมาทำงานด้วยครอบครัว อยากเรียนสายดนตรีแต่ไม่มีโอกาส เพราะมีฐานะยากจน ต่อมาเพื่อนก็ชวนมาเป็นช่างแอร์ในกรุงเทพฯ แต่ความรักในการร้องเพลงก็ไม่เคยเลือนหายไป หลังจากที่ได้ชม “เดอะวอยซ์ไทยแลนด์” และชื่นชอบ นนท์ จากซีซั่นแรก “เป็ด” ก็ตัดสินใจมาสมัคร “เดอะวอยซ์ 2018” เพราะอยากทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ถ้าได้เข้ารอบก็เหมือนได้เรียนร้องเพลงฟรี เพราะเมื่อก่อนไม่มีโอกาสได้เรียนร้อง เพลง เลยอยากมาหาประสบการณ์จากเวทีนี้แทน ซึ่งตอนนี้ฝันของเขาก็เป็นความจริงแล้ว โดยมีโค้ชโจอี้เป็นผู้ดูแล

 สำหรับคนที่สองนั้นถือได้ว่าเป็นผู้สร้างสีสันให้กับรายการสัปดาห์นี้เป็นอย่างมาก สมราคานักร้องนักดนตรีอาชีพ “รัน-การัน  สัชเดวา” คือชื่อของเขา “รัน” แสดงความโดดเด่นให้ทุกคนได้เห็นนับตั้งแต่เพลงที่เขาเลือกมาโชว์พลังเสียงคือ “เจ็บจุงเบย” เรื่อยไปจนถึงการโชว์เต้นสามช่า และการปล่อยมุกเรียกเสียงฮาได้อย่างต่อเนื่อง

“รัน”เริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่เรียนมัธยม โดยเริ่มจากเพื่อนบังคับให้เล่นเบส มีวันนึงนักร้องนำในวงไปเข้าห้องน้ำ “รัน” เลยลองซ้อมแทน แล้วเพื่อนในวงเห็นว่าร้องได้เลยให้ร้องแทน จนกลายเป็นนักร้องนำเต็มตัว ก่อนหน้าที่เริ่มประกวดร้องเพลงจริงจังและได้รางวัลมาเยอะแยะมากมาย  ต่อมามีโอกาสได้เจอวงที่เขาขาดนักร้อง เขาเลยชวนไปร้องด้วยกันจนเป็นนักร้องกลางคืนจนถึงทุกวันนี้

อย่างไรก็ตาม แม้จะประสบความสำเร็จมาไม่น้อย แต่แม่ของ “รัน” กลับไม่ชอบให้ประกวดเกี่ยวกับดนตรีและแอนตี้เรื่องนี้มาก บอกว่าร้องไปก็ไม่ได้อะไร คนอื่นเขาหล่อกว่าตั้งเยอะแยะ เอาเวลาไปทำมาหากินดีกว่า และที่มา “เดอะวอยซ์ 2018”  เพราะอยากให้มีคนรู้จักมากขึ้น และอยากพิสูจน์ให้แม่เห็นว่าเราทำได้ แต่กระนั้นตอนที่เดินทางจากขอนแก่นมารอบ Blind Audition เขาก็ไม่ได้บอกแม่ เพราะถ้าบอกแม่จะไม่ให้มา แต่ในที่สุดเขาก็สามารถเข้ารอบได้สำเร็จ กลายเป็นส่วนหนึ่งของทีมโค้ชก้อง ซึ่งเชื่อว่าแม่จะมีมุมมองที่เปลี่ยนไปกับเส้นทางที่เขาเลือกนับจากนี้ไป

อีกหนึ่งนักร้องหนุ่มที่มีน้ำเสียงมีเอกลักษณ์น่าสนใจคือ “อั๋น-เจษฎา ตรีรุ่งกิจ” โปรแกรมเมอร์หนุ่มที่ใช้เสียงร้องและกีตาร์ของเขาถ่ายทอดเพลง “Paris In The Rain” ได้อย่างโดดเด่นจน “โค้ชคิ้ม” มิอาจนิ่งดูดายได้

“อั๋น”  ซึมซับและชื่นชอบดนตรีมาตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะที่บ้านเป็นคนจีน เวลามีงานอะไรก็จะร้องเพลง ญาติ ๆ บอกว่าร้องเพลงเพราะ แม่เลยส่งเขาไปเรียนร้องเพลง และก็เริ่มประกวดร้องเพลงตั้งแต่นั้นมา เคยได้แชมป์ KPN JUNIOR และเริ่มทำวงกับเพื่อน และเริ่มเล่นดนตรีอย่างจริงจัง ก่อนหน้าที่จะมีค่ายใหญ่มาเห็นตอนประกวดร้องเพลง เลยติดต่อไปเป็นศิลปินในค่าย แต่หลังจากที่ค่ายดังกล่าวเลิกทำเพลงเลยไม่ได้เป็นศิลปินต่อ จึงหันไปจริงจังกับสายโปรแกรมเมอร์ที่ได้ร่ำเรียนมา และประสบความสำเร็จ โดยเคยได้รางวัลชนะเลิศ ในหมวด Game Design ที่อเมริกา ในงาน Microsoft Seattle USA ด้วย

ส่วนเหตุผลที่มา “เดอะวอยซ์ 2018”  นั้นก็เป็นเพราะว่าการร้องเพลงคือความฝันอีกอย่างของเขาที่อยากทำให้สำเร็จ รวมทั้งอยากให้คนได้รู้ว่าเด็กเนิร์ดอย่างเขานั้นก็เล่นดนตรีและร้องเพลงได้

 ถัดมากับนักร้องสาวจากกรมดุริยางค์ทหารบกที่ชื่อ “ปุยฝ้าย-ทิพยาภรณ์  วิยาสิงห์” ซึ่งชนะใจโค้ชทั้ง 4 คนที่หันกลับมากันครบทุกคน แถมยังมีการกันท่า “โค้ชป๊อบ” ด้วยการกดปุ่มบล็อกอีกต่างหาก เรียกได้ว่าทุกคนต่างตั้งความหวังกับ “ปุยฝ้าย” เอาไว้มาก หลังจากที่ได้ชมเธอโชว์ลีลาสุดมันส์ในเพลง “แต่งงานกันเฮอะ” ก่อนหน้าที่ “ปุยฝ้าย” จะเลือกอยู่ในทีมของโจอี้ บอย ที่น่าจะเข้าทางเธอมากที่สุด

“ปุยฝ้าย” เริ่มร้องเพลงเพราะที่บ้านชอบเปิดเพลง และได้ซึมซับความรักในการร้องเพลงมาจากพ่อที่เป็นนักร้องอีกด้วย โดยสาวน้อยคนนี้นั้นชอบยืนร้องเพลงหน้ากระจกมาก จนแม่เห็นแววก็เลยหาเวทีให้ประกวดเรื่อยมา ขณะที่ตอนเรียนก็อยู่วงประสานเสียงของโรงเรียนด้วย จนย้ายมาสงขลาครูก็พาประกวดหลายที่ จนช่วงหลังๆ ก็เริ่มขยับไปร้องแทนตามงานอีเว้นท์บ้าง

ต่อมาครูพาไปประกวดงานร้องเพลงของทหารบก จนเจ้ากรมดุริยางค์มาเห็นก็เชิญชวนให้ไปสอบ จนได้เป็นทหารดุริยางค์จนทุกวันนี้ ส่วนตัวแล้ว “ปุยฝ้าย” ชอบเอกชัย ศรีวิชัย มาก ถือเป็นไอดอลของเธอเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นคนใต้เหมือนกัน ทั้งยังเคยร่วมร้องเพลงกับนักร้องระดับตำนานคนนี้มาแล้วด้วย ซึ่งเธอยังคงรู้สึกประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้

สำหรับความฝันในทุกวันนี้นั้น “ปุยฝ้าย” อยากประสบความสำเร็จในด้านร้องเพลงไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นศิลปินที่มีผลงานของตัวเอง หรือจะเป็นงานด้านการสอนร้องเพลงก็ตาม เพราะเธอฝันมานานแล้วว่าอยากเปิดโรงเรียนสอนดนตรีให้เด็กด้อยโอกาส

ขณะที่ชายหนุ่มคนต่อมา คือ ปลั๊ก-อลงกรณ์  ศิริมหาวีโร นั้นถือเป็นผู้ที่แม้ดูเหมือนจะโอกาสไม่เข้าข้างนัก ไม่ว่าจะการที่เติบโตภายใต้การเลี้ยงดูของคุณแม่เพียงลำพัง หรือการที่เขาต้องสูญเสียตาข้างซ้ายไปจากอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ล้ม ขณะที่หูข้างขวาก็ไม่ได้ยินมาตั้งแต่เด็กโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่มีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นเพราะเพื่อนปากรวดใส่หูตอนเด็ก ๆ

แต่แม้ว่าโชคหรือโอกาสจะไม่อยู่เคียงข้าง แต่ด้วยความเพียรพยายามทำในสิ่งที่รัก นั่นคือการร้องเพลง กระทั่งเป็นแรงผลักดันในชีวิตมาตลอด โดยที่มีจุดเริ่มต้นจากความชอบฟังเพลง แล้วก็ร้องตาม พอเติบโตขึ้นก็ชอบไปหยอดตู้คาราโอเกะร้องหลังเลิกเรียน จนรุ่นน้องที่ โรงเรียนทาบทามให้มาเป็นนักร้องโรงเรียน รวมวงกัน ก็เลยมีโอกาสได้ร้องเพลงจริง ๆ จัง ๆ ส่วนตัว โดยมีคุณแม่สนับสนุนเรื่องการร้องเพลงมาตลอด กระทั่งสามารถประสบความสำเร็จในรอบ Blind Audition นี้ที่ “โค้ชก้อง” ประทับใจในเสียงร้องของเขาและตัดสินใจเลือก “ปลั๊ก” เข้าสู่ทีมของเขา

อีกหนึ่งนักร้องเสียงจริงที่ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต้ว-เพียงเพ็ญ บุญแก้ว สาวเมืองนนท์ที่ปัจจุบันช่วยงานที่บ้าน ทำอู่ซ่อมรถ ควบคู่ไปกับการทำงานร้องเพลงกลางคืน ซึ่งเป็นความสามารถพิเศษที่ “แต้ว” ทำได้ดีตั้งแต่เด็ก โดยในช่วงม.ปลาย เธอได้สมัครเข้าร่วมโครงการประกวดร้องเพลง “โลกสวยด้วยเสียงเพลง” ทว่าแม้จะนำเสนอการสำแดงเสียงร้องได้ดี แต่การตอบรับกลับตรงข้ามกับที่หวังโดยสิ้นเชิง “แต้ว” โดนเพื่อนโห่พร้อมกับคำพูดกรีดแทงใจอย่าง“ไม่ดูสารรูปตัวเอง” “อีอ้วน”

 

หลังจากนั้นด้วยอนอยากให้ลูกสาวหายเครียดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม่ของเธอจึงถามเมื่อกลับถึงบ้านว่า อยากเรียนร้องเพลง ถ้าเรียนก็ต้องแลกกับการต้องทำงานบ้านและลดความอ้วน “แต้ว” ตกลงรับข้อเสนอของแม่ และเริ่มเรียนร้องเพลงอย่างจริงจัง ซึ่งยังผลให้แต้วได้ค้นพบตัวเองและสังคมใหม่ ๆ

หลังจากนั้น “แต้ว” ก็เริ่มร้องกลางคืน โดยตั้งแต่ปี 3 แอบที่บ้านไปร้องเพลงที่ระยองในช่วงตอนวันเสาร์อาทิตย์ เพราะกลัวที่บ้านจะว่า ก่อนที่จะเริ่มทำงานร้องเพลงมากขึ้น โดยในช่วงปี 3 -4 นั้น “แต้ว” มีงานร้องเพลงเกือบทุกวัน จนกระทั่งเรียนไม่จบ เพราะความที่ทำงานเยอะทำให้ไม่ได้ไปเรียน จสุดท้ายได้ลาออกมาช่วยงานที่บ้านและร้องเพลงกลางคืนไปด้วย แม้จะไม่ประสบความสำเร็จในเส้นทางการเรียน แต่เส้นทางการเป็นนักร้องอาชีพนั้นยังไปได้อีกไกล โดยมี “โค้ชก้อง” มา”ประสิทธิ์ประสาทให้ตลอดการแข่งขันในรายการ “เดอะวอยซ์ 2018”

คนถัดมาเป็นหนุ่มสู้ชีวิตจาก สงขลา “อู-เอกราช พลศร” พนักงานขับรถส่งเหล็กที่ทำงานร้องเพลงควบคู่ไปด้วย อันเป็นสิ่งที่เขารักมาตั้งแต่เด็ก โดยแม่เคยพาไปประกวดตอน 9 ขวบ ที่แม้จะไม่ได้รางวัล แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดี พอขยับขึ้นมาเรียน ม.1 ก็เริ่มหัดเล่นกีตาร์ร้องเพลง และเคยทำวงดนตรีในโรงเรียนสมัย เรียนอยู่ ปวช. โดย “อู” เคยเล่นทั้งกลองและมือเบสมาก่อน หลังจากเลิกเรียนก็ฝึกร้องเพลงด้วยตัวเองจาก YouTube ชอบดูรายการ The Voice และฝึกร้องเพลงตาม Comment ของโค้ช จวบจนตอน ปวช. “อู” กลายเป็นคนเกเร หนีเรียน ไม่สนใจเรียนและได้แฟน จนต้องออกจากโรงเรียน และต้องไปเรียน กศน. เพื่อให้จบม.6

“อู” เป็นคนตลก แต่หน้าโหด คนชอบแซวว่าเหมือนโจร แต่กระนั้นเมื่อเจ้าของร้านอาหารที่อยู่ข้างบ้านเขาได้ยิน “อู” ร้องเพลงเลยชวนไปร้อง เลยได้ร้องจนถึงปัจจุบัน ที่ “โค้ชคิ้ม” จะกลายเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในพัฒนาการร้องเพลงนับจากบัดนี้เป็นต้นไป

ส่วนเหตุผลที่มา “เดอะวอยซ์  2018” นั้นเป็นเพราะอยากเป็นที่รู้จัก จะได้มีงานมากขึ้นเพื่อที่จะเงินส่งให้ลูกได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ขณะเดียวกันก็อยากให้พ่อแม่ภูมิใจในตัวเองสักครั้ง ว่าตอนนี้เด็กเกเรในวันนั้นได้กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันนี้

 

แล้วก็มาถึงนักร้องเสียงจริงคนที่แปดปิดท้ายอีพีสาม คือนักศึกษาฝึกสอนจากร้อยเอ็ด “โจอี้-จักรกฤษ  ขำจิตร์” ปัจจุบัน ฝึกสอนอยู่ โรงเรียนเทศบาลหนองหญ้าม้า วิชาดนตรีศึกษา ทั้งดนตรีสากล และดนตรีพื้นบ้าน มีจุดเริ่มต้นบนเส้นทางการร้องเพลงจากความชื่นชอบในวงแคลช ตั้งแต่ตอนป.6  พอโตขึ้นมาหน่อยก็ชอบ Sillyfools และพอเข้ามหาวิทยาลัย ก็หันไปชอบ Linkin Park และเริ่มร้องเสียงสูงจากการฟังเพลงร็อกสากลนั่นเอง

ปัจจุบัน “โจอี้” เล่นร้านกลางคืนกับเพื่อนอีกคน โดยเอาเพลงมาทำดนตรีใหม่ สดๆ ตรงนั้น ทั้งร้านมีแต่คนงงๆ แต่เจ้าของร้านชอบเลยอยู่ต่อได้

สำหรับที่มาที่ไปที่ทำให้ตัดสินใจสมัคร “เดอะวอยซ์ 2018” เพราะอยากมาสร้างศิลปะให้เวทีนี้ ขณะที่มีเป้าหมายสูงสุดอยากเป็นศิลปินในด้านดนตรี ซึ่งเชื่อแน่ว่าเวทีนี้จะเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของเขา

ติดตามให้กำลังใจผู้เข้าแข่งขันที่มีคุณภาพด้านเสียงร้องเช่นนี้ได้ในรายการ “The Voice 2018 เสียงจริง ตัวจริง” ทุกคืนวันจันทร์  เวลา 20.15 น. และรีรัน ทุกวันอาทิตย์ เวลา 16.15 น. ทางช่อง พีพีทีวี เอชดี 36 และรับชมทางออนไลน์ www.pptvhd36.com

 

อ่านข่าว "โค้ชก้อง" ฉลองอีพี 3 รับลูกทีมอีก 3 ยอดรวมที่สองรอง "โค้ชโจอี้"

 ติดตามความเคลื่อนไหว TheVoice2018 และ ชมคลิปไฮไลท์

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์


TOP ข่าวบันเทิง

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ