ที่นครริโอ เด จาเนโร เมืองใหญ่ของประเทศ ผู้ชุมนุมหลายพันคนออกมารวมตัวชูป้ายขับไล่ผู้นำ ร้องตะโกน ร้องเพลง รวมไปถีงยังมีการเปรียบเทียบผู้นำประเทศกับหลายสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเทียบว่าขณะนี้ผู้นำน่ากลัวกว่าไวรัสที่คร่าชีวิตผู้คน รวมไปถึงเทียบผู้นำกับโครงกระดูก เพราะเป็นผู้นำความตายมาให้บราซิล การประท้วงใหญ่ขับไล่ผู้นำประเทสเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา มีรายงานว่ามีเมืองมากถึง 19 เมืองที่ผู้คนนัดหมายกันออกมาชุมนุมแบบนี้
เชื่อผู้นำชาติพบภัย ถ้าเป็น “จาอีร์ บอลโซนาโร”
โควิด-19 ทำอดีตคนเลือก "บอลโซนาโร" ตาสว่าง
ส่วนใหญ่เป็นไปอย่างสงบ เว้นแต่ที่เมืองเรซิฟี เมืองหลวงของรัฐเปนัมบูกู ภาพจากโลกออนไลน์แสดงให้เห็นว่า ตำรวจใช้สเปรย์พริกไทยและกระสุนยางยิงเข้าใส่ผู้ประท้วง อีกภาพที่แชร์กันบนโลกออนไลน์เผยให้เห็นว่ามีผู้ประท้วงได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก จากการปราบปรามของเจ้าหน้าที่
อย่างไรก็ตามหลังภาพการปราบปรามกลายเป็นไวรัล ก็มีรายงานตามมาว่าทางรัฐบาลกลางไม่ได้ออกคำสั่งให้มีการสลายการชุมนุม และขณะนี้กำลังดำเนินการสอบสวนบรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองเรซิฟี
การชุมนุมเมื่อวันเสาร์เกิดขึ้นยาวไปจนถึงช่วงกลางคืน คือบรรยากาศของนครเซา เปาโล ซึ่งดูเหมือนว่ายิ่งดึก คนก็ยิ่งออกมารวมตัวกันเยอะขึ้น มีประเด็นอะไรบ้างที่ทำให้ผู้ชุมนุมออกมาประท้วง มีตั้งแต่ความเพิกเฉยต่อมาตรการรับมือการระบาดอย่างการปิดเมือง ไปจนถึงการทำตัวเป็นอุปสรรคต่อนโยบายทางสาธารณสุข และความล่าช้าของการนำเข้าวัคซีน
จนส่งผลให้ล่าสุด บราซิลกลายมาเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจากโควิดมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐฯ โดยยอดล่าสุดอยู่ที่ 460,000 ราย ซึ่งทั้งหมดนี้ ชาวบราซิลมุ่งเปาไปที่การบริหารงานของ จาอีร์ บอลโซนาโร ผู้นำประเทศ ตลอดเวลาหนึ่งปีครึ่งของการระบาด บอลโซนาโร ยังคงมีจุดยืนต่อต้านนโยบายสาธารณะสุข ภาพที่ผู้คนคุ้นชินคือ ผู้นำมักไปไหนมาไหนโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย และไม่เว้นระยะห่างทางกายภาพ
ทั้งยังพยายามตอกย้ำความเชื่อผิดๆ ว่า โควิดไม่อันตราย โควิดเหมือนไข้หวัด พร้อมเรียกร้องให้ผู้คนออกมาใช้ชีวิตตามปกติ เมื่อผู้นำมั่นใจแบบนี้ ย่อมมีคนทำตาม ผลคือ บราซิลเผชิญกับแรงเสียดทานระหว่างกลุ่มที่เชื่อในอันตรายของไวรัสโควิด กับอีกกลุ่มที่ไม่เชื่อว่าโควิดนั้นร้ายกาจดังที่สื่อนำเสนอ
นอกเหนือจากจะทำให้สังคมวุ่นวาย ทัศนคติของบอลโซนาโรเองยังส่งผลให้เจ้าหน้าที่ทำงานยากกว่าเคย ตัวเขาขัดแย้งกับกระทรวงสาธารณสุขบ่อยครั้ง เนื่องจากบอลโซนาโรไม่ต้องการปิดเมืองก็เพราะไม่อยากให้ประเทศเผชิญกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ผลก็คือในเวลาเพียงปีเดียว เขาเปลี่ยนรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขไปแล้ว 3 คนในปีเดียว ปัจจุบันคนที่ดำรงตำแหน่งอยู่คือคนที่ 4 เพิ่งเข้ามาทำงานเมื่อมีนาคมที่ผ่านมา
ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา หรือเมื่อสัปดาห์ก่อน บอลโซนาโรยังคงทำเหมือนเดิม คือพบปะกับผู้สนับสนุนโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย ตัวเขาเข้าร่วมในขบวนมอเตอร์ไซค์ โบกไม้โบกมือพร้อมโปรยยิ้มให้ผู้คนที่มาให้กำลังใจ
หนึ่งปีครึ่งของการระบาด บอลโซนาโรไม่มีวี่แววว่าจะเปลี่ยนแปลง นี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้ชาวบราซิลจำนวนหนึ่งทนไม่ไหว และออกมาขับไล่ผู้นำ พวกเขาเปรียบเทียบว่าการเพิกเฉยของผู้นำ ไม่ต่างอะไรจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้คน เพราะวันนี้ชาวบราซิลกำลังจะตาย โดยหากไม่ตายเพราะโควิด ก็ตายเพราะอดตายจากพิษเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตามแม้จะเผชิญกับเสียงขับไล่มากมาย แต่บอลโซนาโรก็ยังมีผู้สนับสนุน มีหลายเหตุผลที่คนบราซิลยังคงสนับสนุนบอลโซนาโร โดยมองว่าผู้นำกำลังปกป้องเศรษฐกิจ บ้างก็มองว่าเขาปกป้องอิสรภาพของผู้คน ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐาน เนื่องจากนักการเมืองคงอื่นๆ พยายามใช้มาตรการล็อกดาวน์เมือง
ส่วนในประเด็นวัคซีน หลายคนก็เห็นด้วยกับบอลโซนาโร ที่ต่อต้านวัคซีนจากต่างชาติ เนื่องจากมองว่าไม่อยากให้บราซิลเป็นหนูทดลองยา ไปจนถึงตกเป็นอาณานิคมของชาติต่างๆ ที่ร้ายแรงที่สุดคือเชื่อตามผู้นำว่า โควิดไม่มีจริง และทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการเมือง การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งใหม่ของบราซิลจะเกิดขึ้นในปี 2022
ท่ามกลางกระแสต่อต้านบอลโซนาโร ขณะนี้ผู้คนจำนวนหนึ่งเทคะแนนให้กับ ลูอิส อีนาซิยู ลูลา ดาซิลวา อดีตประธานาธิบดีบราซิลช่วงปี 2003 - 2010 ที่มีข่าวว่าจะกลับมาลงสมัครชิงตำแหน่งอีกครั้งในปีหน้า แม้ยังไม่ยืนยัน แต่ผลสำรวจเบื้องต้นชี้ว่า ผู้คนพร้อมสนับสนนุนเขา
ในขณะเดียวกันผลสำรวจจาก Datafolha ล่าสุดร้อยละ 45 ของชาวบราซิลที่ตอบแบบสอบถามก็มองว่า รัฐบาลของบอลโซนาโรบริหารงานได้แย่
เรียกได้ว่าขณะนี้ ผู้นำบราซิลกำลังเผชิญกับแรงกดดันหลายทาง ทั้งเสียงสนับสนุนในตัวคู่แข่งที่กำลังเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงเสียงเรียกร้องให้ทางสภาลงมติถอดถอนประธานาธิบดี ต้องติดตามกันต่อว่า บอลโซนาโรจะทำอย่างไร นอกจากนี้ความน่าสนใจก็คือ ในบรรดาชาวบราซิลที่ออกมาขับไล่เขา มีหลายคนที่ระบุว่าเคยโหวตเลือกบองโซนาโรให้เป็นประธานาธิบดีมาแล้ว เมื่อการเลือกตั้งปี 2018 แต่การระบาดของโควิดช่วยให้พวกเขาตาสว่าง