เมื่อวานนี้ (29 มี.ค.) ตัวแทนจากรัสเซียและยูเครนได้มีการเจรจาหาทางออกโดยสันติภาพครั้งใหม่ในตุรกี ซึ่งดูจะเป็นไปได้ด้วยดีในระดับหนึ่ง และนับเป็นการเจรจาที่มีความก้าวหน้ามากที่สุด
โดย เมฟลุต คาวูโซกลู รัฐมนตรีต่างประเทศของตุรกี กล่าวว่า การเจรจากันครั้งนี้ถือเป็น “ความก้าวหน้าที่มีความหมายมากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการเจรจากันมาเลยทีเดียว”
รัสเซีย เจรจายูเครน ยอมลดระดับปฏิบัติการทางทหารในกรุงเคียฟ
เจรจารัสเซีย-ยูเครนรอบใหม่เริ่มแล้วในตุรกี “อบราโมวิช” โผล่ร่วมด้วย
สื่อนอกรายงาน รัสเซียอะลุ้มอล่วยให้ยูเครนเข้าอียูได้ แต่ห้ามเข้านาโต
การเจรจาได้ข้อสรุปอะไรบ้าง?
- รัสเซียให้สัญญาว่าจะ “ลดระดับ” ปฏิบัติการทางทหารใกล้กับเมืองหลวงเคียฟและเมืองเชอร์นิฮิฟของยูเครน “เพื่อเพิ่มความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และสร้างโอกาสสำหรับการเจรจาครั้งต่อไป”
- ยูเครนคือการให้คำมั่นว่าจะยกเลิกแผนการเข้าร่วมกลุ่มนาโต (NATO) แต่ต้องได้รับความปลอดภัยที่รับประกันโดยพันธมิตรระหว่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ ตุรกี และประเทศอื่น ๆ
- ฝ่ายผู้ค้ำประกันความปลอดภัยให้ยูเครน ซึ่งรวมถึงประเทศในยุโรป แคนาดา และอิสราเอล จะต้องให้ความช่วยเหลือทางทหารและอาวุธแก่ยูเครน หากถูกโจมตี ในทางกลับกัน ยูเครนให้สัญญาว่า จะคงสถานะเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และไม่พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ โดยจะยังคงมีสิทธิ์เข้าร่วมสหภาพยุโรป (EU)
- ยูเครนยังเสนอให้มีการเจรจากับรัสเซียเกี่ยวกับสถานะของไครเมียในกรอบระยะเวลา 15 ปีจากนี้
อเล็กซานเดอร์ โฟมิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมรัสเซีย กล่าวว่า “เพื่อเพิ่มความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และสร้างโอกาสสำหรับการเจรจาต่อไปเราได้ตัดสินใจที่จะลดระดับปฏิบัติการทางทหารในเคียฟและเชอร์นิฮิฟ”
เขาไม่ได้เอ่ยถึงพื้นที่อื่น ๆ ที่มีการสู้รบอย่างหนัก เช่น มาริอูโปลทางตะวันออกเฉียงใต้ ซูมีและคาร์คิฟทางตะวันออก และเคอร์ซอนทางใต้
ท่าทีแต่ละฝ่ายหลังการเจรจาเป็นอย่างไร?
อย่างไรก็ตาม ผลจากการเจรจาที่ดูเหมือนจะออกมาดีนี้ ทางฝั่ง โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ และผู้นำชาวตะวันตกคนอื่น ๆ ต่างพากันตั้งข้อสงสัย โดยกล่าวว่า “พวกเขาจะตัดสินรัสเซียด้วยการกระทำ ไม่ใช่คำพูด” และจะยังคงกดดันรัสเซียต่อไปผ่านการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและส่งความช่วยเหลือไปยังยูเครน
ไบเดนกล่าวว่า “เราจะหาคำตอบว่าพวกเขาจะทำอะไร แต่ในระหว่างนี้ เราจะรักษามาตรการคว่ำบาตรอย่างเข้มงวด เราจะยังคงเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันตัวเองของกองทัพยูเครต่อไป และเราจะคอยจับตาดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด”
จอห์น เคอร์บี โฆษกของเพนตากอน กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของกองทัพรัสเซียที่จะออกจากกรุงเคียฟ ดูเหมือนมีผลเพียงเล็กน้อย และยังคงได้ยินเสียงระเบิดหลายครั้งในเมืองในช่วงกลางคืนของวันที่มีการเจรจา
“เราไม่เชื่อว่าภัยคุกคามต่อเมืองหลวงยูเครนได้ลดน้อยลงไป” เคอร์บีกล่าว
เขาเสริมว่า “เราเชื่อว่าการเคลื่อนไหวของกองกำลังรัสเซียในเคียฟเป็นการปรับกลยุทธ์ใหม่ ไม่ใช่การถอนกำลัง และโลกควรเตรียมพร้อมสำหรับการรุกรานครั้งใหญ่ในพื้นที่อื่น ๆ ของยูเครน”
ด้าน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน บอกภายหลังทราบผลการเจรจาว่า ยูเครนไม่มีเหตุผลที่จะ “ไว้วางใจ” รัสเซียที่อ้างว่าจะลดระดับการโจมตี
“สัญญานี้ไม่ทำให้เสียงระเบิดหยุดลง ... ชาวยูเครนไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้น ชาวยูเครนได้เรียนรู้แล้ว จากตลอด 34 วันของการรุกราน และในช่วง 8 ปีที่ผ่านมาของสงครามในดอนบาส ว่า สิ่งเดียวที่พวกเราจะเชื่อถือคือผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมเท่านั้น”
ขณะที่กระทรวงกลาโหมของสหราชอาณาจักรกล่าวว่า “มีความเป็นไปได้สูงที่รัสเซียจะพยายามเปลี่ยนย้ายกำลังรบจากทางเหนือไปยังภูมิภาคโดเนตสค์และลูฮันสค์ทางตะวันออกแทน”
วลาดิเมียร์ เมดินสกี หัวหน้าทีมเจรจาของรัสเซีย กล่าวว่า นี่เป็น “การเจรจาที่สำคัญ” อย่างไรก็ตาม เขามองว่า นี่ยังไม่ใช่การหยุดยิง
“การลดระดับปฏิบัติการในเคียฟและเชอร์นิฮิฟไม่ได้หมายถึงการหยุดยิง ... ยังเหลือหนทางอีกยาวไกลในการจัดทำข้อตกลงระหว่างรัสเซียและยูเครนเกี่ยวกับเงื่อนไขที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้” เมดินสกีกล่าว
รัสเซียยังส่งสัญญาณว่าจะสู้ต่อไปเพื่อยึดเมืองมาริอูโปล เมืองท่าสำคัญทางตอนใต้ โดยกล่าวว่า หากกลุ่มติดอาวุธชาตินิยมยูเครนยังไม่ยอมวางอาวุธ ก็จะเป็นการยากที่จะแก้ไขสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมที่นั่น
หลังจากนี้ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ จะพูดคุยกับผู้นำของฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และอังกฤษ เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดในยูเครน ส่วนประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง มีกำหนดจะพูดคุยกับประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน ในวันนี้
"ไบเดน" ยันไม่ถอนคำพูดว่า "ปูตินไม่ควรอยู่ในอำนาจ"
กองทัพ ยูเครนยึดเมืองเออร์พินคืนจากรัสเซียได้
เรียบเรียงจาก Reuters / Washington Post
ภาพจาก Getty Image