ยูเครน ขู่ระเบิดสะพานเชื่อมรัสเซีย-ไครเมีย


โดย PPTV Online

เผยแพร่




สงครามในยูเครนดำเนินมา 176 วันแล้ว สถานการณ์ของสงครามยังคงรุนแรงทั้งในพื้นที่ทางภาคตะวันออกและภาคใต้ โดยที่ภาคตะวันออก รัสเซียได้ยิงขีปนาวุธโจมตีพื้นที่พลเมืองในแคว้นคาร์คีฟจนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย ส่วนทางภาคใต้ สถานการณ์ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซีย ซึ่งเป็นโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปยังคงน่าเป็นห่วง เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่โรงงานเพื่อตรวจสอบความเสียหายได้ทำให้วันนี้เลขาธิการใหญ่ขององค์การสหประชาชาติเดินทางไปเยือนยูเครนเพื่อพูดคุยประเด็น

วันนี้ 18 ส.ค. อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการใหญ่องค์การสหประชาชาติเดินทางถึงเมืองลวิฟของยูเครน และเตรียมตัวเข้าพบเพื่อหารือร่วมกับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครน และประธานาธิบดี เรเจป เทย์ยิป เออร์โดกัน ของตุรกี

โดยในการพบกันของทั้งสามคน มีสองประเด็นที่จะถูกนำมาพูดคุย ประเด็นแรกคือ การขนส่งธัญพืชในทะเลดำ และอีกประเด็นสำคัญสำหรับการพูดคุยในครั้งนี้คือ วิกฤตโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซีย ที่หลายฝ่ายกำลังกังวล หลังจากที่มีการโจมตีเกิดขึ้นและอาจทำให้โรงไฟฟ้าเสียหายได้

รัสเซีย เสียเครื่องบินรบหลายลำจากเหตุระเบิดในไครเมีย

ยูเครนเตือนชาติเอเชีย ถ้ารัสเซียชนะสงคราม อาจเจอสถานการณ์แบบยูเครน

ซึ่งหากเกิดความเสียหายนั่นจะหมายถึงการรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสี หลายฝ่ายคาดว่าการเจรจาดังกล่าวจะเกิดขึ้นในคืนนี้ตามเวลาบ้านเรา

ขณะที่เมื่อวานนี้ ประธานาธิบดีเซเลนสกีของยูเครนออกมาระบุว่า  บรรดาทูต ผู้เชี่ยวชาญด้านนิวเคลียร์ และเจ้าหน้าที่จาก IAEA ของยูเครน ทำงานประสานกันอยู่ตลอดเพื่อที่จะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซีย

ความสามารถในการเข้าถึงตัวโรงไฟฟ้าและพื้นที่โดยรอบของทั้งยูเครน ประชาคมโลก และ IAEA รวมถึงการดำเนินการที่โปร่งใสจะทำให้สถานการณ์ที่โรงไฟฟ้าค่อย ๆ ดีขึ้น

นอกจากนี้ผู้นำยูเครนย้ำชัดว่า กองทัพรัสเซียต้องถอนกองกำลังออกไปจากพื้นที่ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซียแบบไร้เงื่อนไขทันที

อย่างไรก็ดี อิกอร์ โคนาเชนคอฟ โฆษกกระทรวงกลาโหมรัสเซียได้ออกมาโต้ตอบยูเครนว่า ทางกองทัพรัสเซียไม่เคยนำอาวุธหนักไปประจำการในโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซีย

นอกจากนี้ยังระบุว่า ผู้นำยูเครนกำลังปล่อยข่าวลวงว่ารัสเซียใช้โรงงานไฟฟ้าเป็นโล่กำบัง ทั้ง ๆ ที่ฝั่งยูเครนกำลังเตรียมปฏิบัติการยั่วยุที่โรงไฟฟ้า ระหว่างที่เลขาฯ ยูเอ็นเยือนเมืองลวิฟ เพื่อเตรียมใส่ร้ายว่าเป็นฝีมือของกองทัพรัสเซีย

ในขณะที่การเจรจาเพื่อส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบในโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ยังคงดำเนินอยู่ ทางการยูเครนก็ไม่ได้นิ่งเฉยและจัดการซ้อมเพื่อรับมือกับภัยพิบัติฉุกเฉินจากนิวเคลียร์ที่อาจจะเกิดขึ้น

เมื่อวานนี้บรรดาเจ้าหน้าจากหน่วยงานฉุกเฉินของยูเครนในแคว้นซาโปริซเซียได้เข้าร่วมการฝึกซ้อมเพื่อรับมือกับเหตุฉุกเฉินด้านนิวเคลียร์

ซึ่งเฮอร์มาน ฮาลุชเชนโก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานก็ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า ทางยูเครนกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จึงได้จัดการซ้อมในครั้งนี้ขึ้น

อีกทั้งยูเครนยังหวังว่า IAEA จะมีมาตรการหรือแถลงการณ์เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้

นอกจากสถานการณ์ที่แคว้นซาโปริซเซียแล้ว อีกพื้นที่ที่สถานการณ์ยังคงน่าเป็นกังวลคือภาคใต้ของยูเครน หลังจากที่มีประเด็นเรื่องเหตุการณ์ความไม่สงบในแคว้นไครเมียถึงสองครั้งภายในหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งล่าสุดสื่อตะวันตกได้เปิดเผยข้อมูลว่าเป็นฝีมือของยูเครน

เมื่อวานนี้ เจ้าหน้าที่ของยูเครนซึ่งปฏิเสธที่จะเปิดเผยชื่อ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อของสหรัฐฯ ว่ายูเครนคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในแคว้นไครเมียทั้งที่ฐานทัพอากาศซากีและคลังเก็บอาวุธในหมู่บ้านเมสโกเย

ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับการประเมินของ Institute for the Study of War ของสหรัฐฯ  ที่ระบุว่าเหตุการณ์ความไม่สงบในไครเมีย อาจเป็นส่วนหนึ่งของแผนในการยึดพื้นที่บริเวณด้านตะวันตกของแม่น้ำดนีโปรคืนมา ของฝั่งยูเครน

ขณะเดียวกัน มิคาโล โปลโดยัค ที่ปรึกษาของประธานาธิบดียูเครนออกมาเปิดเผยว่า เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของฝั่งยูเครนในตอนนี้คือ การทำลายระบบขนส่ง คลังแสง และโครงสร้างทางการทหารของกองทัพรัสเซีย เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนจากภายในกองทัพรัสเซียเอง

นอกจากนี้ที่ปรึกษาของประธานาธิบดียูเครนยังได้ขู่ว่า จะระเบิดสะพานเคิร์ซ (Kerch) ซึ่งเป็นสะพานที่เชื่อมจากแผ่นดินของรัสเซียบริเวณทะเลดำมายังคาบสมุทรไครเมีย โดยอ้างว่าสะพานดังกล่าวถูกสร้างแบบผิดกฎหมายและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

สะพานเคิร์ซเป็นสะพานที่มีความยาว 19 กิโลเมตร ซึ่งยาวที่สุดในยุโรป ถูกเปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อปี 2018 เป็นโครงการก่อสร้างที่รัฐบาลรัสเซียทุ่มงบประมาณกว่า 130,000 ล้านบาทในการก่อสร้าง เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ว่าไครเมียและรัสเซียเป็นหนึ่งเดียวกัน

การออกมาข่มขู่ว่าจะออกมาระเบิดสะพานเคิร์ซของที่ปรึกษาประธานาธิบดียูเครนนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่หรือเป็นความลับแต่อย่างใด เพราะทางการยูเครนออกมายอมรับตั้งแต่ช่วงต้นของสงครามแล้วว่า สะพานแห่งนี้คือเป้าหมายแรก ๆ ที่ยูเครนต้องการทำลาย

แต่ที่หลายฝ่ายให้ความสนใจกับคำพูดของที่ปรึกษาผู้นำยูเครนเป็นเพราะ คำพูดนี้เกิดขึ้นในวันที่ความไม่สงบต่าง ๆ ปะทุขึ้นหลายจุดบนคาบสมุทรไครเมีย พร้อมกับข่าวลือและการวิเคราะห์ว่ายูเครนกำลังจะชิงคาบสมุทรที่เป็นยุทธศาสตร์กลับคืนมา

ขณะนี้ผู้เชี่ยวชาญจากชาติตะวันตกระบุไปในทิศทางเดียวกันว่า รัสเซียกำลังกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นในไครเมียในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

เนื่องจากสถานที่เกิดระเบิดทั้งสองแห่งเป็นสถานที่เก็บอาวุธของรัสเซียบนคาบสมุทรไครเมีย เช่น เครื่องบินรบซุคฮอยรุ่นต่าง ๆ รวมถึงอาวุธที่ต้องส่งไปสนับสนุนกองทัพรัสเซียที่ปฏิบัติยึดครองพื้นที่ทางภาคใต้ของยูเครน

อย่างไรก็ดี สิ่งที่เกิดในไครเมียยังไม่สามารถหยุดยั้งการโจมตีของรัสเซียในพื้นที่ภาคใต้ได้ หลังจากที่เมื่อวานนี้ มีรายงานว่ารัสเซียได้โจมตีเมืองต่าง ๆ ในภาคใต้จนได้รับความเสียหายหลายเมือง

เริ่มกันที่เมืองมิโคลายิฟ ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างแคว้นเคอร์ซอนที่รัสเซียยึดครอง และเมืองโอเดสซา เมืองท่าแห่งสุดท้ายของยูเครนที่ติดทะเลดำ

เมื่อวานนี้มีรายงานว่า กองทัพรัสเซียได้ใช้ขีปนาวุธถึง 6 ลูกโจมตีแคว้นมิโคลายิฟ ในจำนวนนั้นมี 2 ลูกไปตกใส่มหาวิทยาลัยเปตรา โมกีลี แบล็กซี จนอาคารต่าง ๆ ได้รับความเสียหาย ผนังบางส่วนพัง ฝ้าเพดานทะลุ และกระจกแตก

หลังจากการโจมตีเกิดขึ้น วิตาลี คิม ผู้ว่าการแคว้นมิโคลายิฟออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ผู้นำรัสเซียจะไม่หยุดการโจมตีไว้เท่านี้แน่นอน แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นยูเครนจะต้องเป็นฝ่ายชนะเท่านั้น

พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า ยูเครนยังต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมในระยะยาวโดยเฉพาะความช่วยเหลือด้านอาวุธ ซึ่งถ้ายูเครนได้รับอาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงเพียงพอ ยูเครนจะจบสงครามครั้งนี้ได้เร็วขึ้นเท่านั้น

นอกจากแคว้นมิโคลายิฟแล้ว อีกพื้นที่ทางภาคใต้ที่ถูกโจมตีคือ แคว้นโอเดสซา

หน่วยงานของกระทรวงกลาโหมทางประจำแคว้นโอเดสซารายงานว่า เมื่อวานนี้กองทัพรัสเซียได้ยิงขีปนาวุธสองลูกใส่พื้นที่ทางตอนใต้ของแคว้น ส่งผลให้เกิดไฟไหม้และอาคารบ้านเรือนของประชาชนได้รับความเสียหาย

ถัดขึ้นไปดูพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของยูเครนบริเวณแคว้นคาร์คีฟ ซึ่งถูกโจมตีอย่างหนัก เมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น

นี่คือภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นหลังจากที่รัสเซียยิงขีปนาวุธถล่มที่พักอาศัยของพลเรือน ส่งผลให้เกิดเพลิงลุกไหม้ ตลอดจนตัวอาคารพังเสียหายและถล่มลงมา

หน่วยงานฉุกเฉินของยูเครนรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่เกิดแล้ว 7 รายและบาดเจ็บอีกมากกว่า 20 ราย

ในขณะที่สถานการณ์ในยูเครนกำลังดำเนินไปอย่างรุนแรงเมื่อวานนี้มีสัญญาณออกมาว่าผู้นำยูเครนกำลังแสวงหาพันธมิตรเพิ่มเติมในภูมิภาคที่ไกลออกไปอย่างลาตินอเมริกา หลังจากที่ได้ไปพูดปราศรัยผ่านระบบออนไลน์ในมหาวิทยาลัยของประเทศชิลี

เมื่อวานนี้ ประธานาธิบดีเซเลนสกีของยูเครนได้ปราศรัยออนไลน์ในงานประชุมของมหาวิทยาลัยในประเทศชิลี ซึ่งถือเป็นการพูดปราศรัยครั้งแรกของผู้นำยูเครนในภูมิภาคนี้ นับตั้งแต่เกิดสงครามในยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

โดยผู้นำยูเครนขอให้บรรดาชาติในลาตินอเมริกายุติการทำการค้ากับรัสเซียและบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรตามสหรัฐฯ และชาติตะวันตก

สาเหตุที่ทำให้ผู้นำยูเครนต้องปราศรัยเช่นนี้ เป็นเพราะตอนนี้ประเทศในแถบลาตินอเมริกาเกือบทั้งหมดยังคงติดต่อทำการค้ากับรัสเซียและไม่ได้คว่ำบาตรรัสเซีย

ในตอนนี้ มีหมู่เกาะบาฮามาสเพียงประเทศเดียวในแถบภูมิภาคลาตินอเมริกาที่ดำเนินนโยบายคว่ำบาตรรัสเซียตามสหรัฐฯ และชาติตะวันตก

หากยูเครนสามารถจูงใจให้ประเทศแถบนี้เปลี่ยนมาดำเนินนโยบายคว่ำบาตรรัสเซียได้ หลายฝ่ายมองว่า รัสเซียอาจต้องเสียกำลังในการทำสงคราม เนื่องจากปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่กำลังอยู่ในช่วงขาลงจากการถูกมาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก

โดยวันนี้สำนักข่าวทาสส์ (TASS) ของรัสเซียออกมารายงานว่า อัตราเงินเฟ้อของรัสเซียในเวลานี้อยู่ที่ร้อยละ 14.87 ซึ่งลดลงจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 15.01

อย่างไรก็ดี แม้ตัวเลขดังกล่าวจะลดลง แต่นี่ก็ไม่ใช่สัญญาณที่น่าพึงพอใจ เพราะตัวเลขเงินเฟ้อกำลังสะท้อนผลจากการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก

ซึ่งถ้าเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว อัตราเงินเฟ้อของรัสเซียอยู่ที่ร้อยละ 6.7 เท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าถึงเท่าตัว

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์


TOP ต่างประเทศ

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ