ซึ่งคาดกันว่าจะมีการรับรองประธานาธิบดี ‘สี จิ้นผิง’ เป็นเลขาธิการพรรคสมัยที่ 3 ทำลายธรรมเนียมปฏิบัติยาวนานนับสิบปี
แต่เพียงไม่กี่วันก่อนการประชุมครั้งสำคัญจะเกิดขึ้น เมื่อวานนี้ ( 13 ต.ค.) ได้เกิดการประท้วงในกรุงปักกิ่งแสดงความไม่ใจต่อประธานาธิบดี สี จิ้นผิง และนโยบายโควิดเป็นศูนย์ ซึ่งการประท้วงแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยนักในจีนที่ควบคุมเสรีภาพในการแสดงความเห็นของประชาชนอย่างเข้มงวด
ภาพที่ถูกเผยแพร่ผ่านทวิตเตอร์ โดยระบุว่าเป็นเหตุการณ์ประท้วงในกรุงปักกิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้
เปิดเบื้องลึก เบื้องหลัง ของ "ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง" กับการเปลี่ยนตัวผู้นำจีน
ตามรอย "ลูกหนี้จีน" ภายใต้ยุทธศาสตร์ "หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง"
จากภาพจะเห็นป้ายผ้าขนาดใหญ่ที่ถูกติดไว้บนสะพานข้ามแยกแห่งหนึ่งในย่านไห่เตี้ยน ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่ง ข้อความบนป้ายเรียกร้องยกเลิกการตรวจโควิด รวมถึงเรียกร้องเสรีภาพ การเคารพในเกียรติศักดิ์ศรี ปฏิเสธการปฏิวัติวัฒนธรรม แต่เรียกร้องการปฏิรูปและการเลือกตั้ง โดยย้ำว่า “หากไม่เป็นทาส เราก็สามารถเป็นพลเมืองได้”
นอกจากนี้ ยังมีอีกป้ายข้อความเรียกร้องให้ประชาชน ผละงาน หยุดเรียนประท้วง กำจัดเผด็จการและประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้เป็น “คนทรยศแห่งชาติ”
ขณะเดียวกัน ยังปรากฏภาพของควันดำลอยโขมงบนสะพานที่ไม่ชัดเจนว่ามีสาเหตุมาจากอะไร รวมถึงมีเสียงสโลแกนการประท้วงที่ถูกเปิดออกมาจากลำโพงด้วย
โดย CNN รายงานว่าป้ายข้อความประท้วงถูกเก็บไปเมื่อเวลาประมาณบ่ายสามโมงครึ่งวานนี้ตามเวลาท้องถิ่น และไม่พบผู้ประท้วงบนท้องถนน แต่ปรากฏว่ามีการส่งเจ้าหน้าที่ความมั่นคงจำนวนมากลงมาประจำการบริเวณสะพานข้ามแยกดังกล่าว
ส่วนในโซเชียลมีเดียจีนอย่างเวยโป๋ ก็มีการจำกัดคำค้นคำว่า “สะพานซือถง” ซึ่งหมายถึงจุดที่เกิดการประท้วง รวมถึงคำว่าไห่เตี้ยน, ปักกิ่ง ,นักรบ ไปจนถึงคำว่า ความกล้าหาญ ด้วย
ยังไม่ชัดเจนว่าใครเป็นผู้จัดการประท้วงครั้งนี้ แต่โดยปกติแล้วการประท้วงประเด็นระดับท้องถิ่น เช่น ความขัดแย้งเรื่องที่ดินหรือไม่พอใจต่อคำตัดสินของศาลเกิดขึ้นอยู่เป็นปกติในจีน
แต่การประท้วงทางการเมืองเป็นสิ่งที่ยากจะเกิดขึ้นได้ และครั้งนี้ยิ่งถือว่าแตกต่างไปจากปกติอย่างมาก เพราะข้อความที่เราได้เห็นมีการเรียกร้องทั้งเรื่องการเลือกตั้ง เสรีภาพ ไปจนถึงโจมตีโดยตรงไปที่ผู้นำระดับสูงสุดของจีน
การประท้วงครั้งนี้ยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่อ่อนไหวมากของจีน เนื่องจากจะมีการเปิดประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์วันที่ 16 ตุลาคมนี้ในกรุงปักกิ่ง ซึ่งทำให้มีการยกระดับการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่เมืองหลวงของจีน
โดยการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ที่กำลังจะมีขึ้นในอีก 3 วันข้างหน้ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเมืองจีน
การประชุมที่จัดขึ้นทุก 5 ปี และในรอบนี้ก็คาดว่าจะมีการรับรองประธานาธิบดี ‘สี จิ้นผิง’ เป็นเลขาธิการพรรคสมัยที่ 3 ซึ่งต่างจากในสมัยของอดีตประธานาธิบดี ‘หู จิ่นเทา’ ผู้นำคนก่อนหน้าที่สมัครใจลงจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคเมื่อปี 2012 หลังอยู่ในตำแหน่งครบ 2 วาระ รวม 10 ปี
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์มา 10 ปีแล้ว ภายใต้การนำของเขามีทั้งการปราบปรามทุจริตขนานใหญ่ที่ถูกผู้สังเกตการณ์การเมืองจีนจำนวนไม่น้อยมองว่า เป็นการกำจัดคู่แข่งทางการเมืองไปด้วยในตัว รวมถึงยังได้พยายามกระชับอำนาจรวมศูนย์ ปราบปรามผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์เห็นต่างและภาคประชาสังคม
แม้มีคนจำนวนมากสนับสนุนท่าทีการเป็นผู้นำที่แข็งกร้าวของสี จิ้นผิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อจุดยืนแข็งกร้าวที่เขามีต่อสหรัฐฯ ซึ่งคู่แข่งสำคัญทั้งทางเศรษฐกิจและอิทธิพลการเมือง แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่กังวลต่อแนวทางปกครองแบบอำนาจนิยมเข้มข้นขึ้นที่เขาได้ใช้บริหารประเทศตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
และประเด็นสำคัญที่ทำให้ประชาชนในจีนไม่พอใจประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และรัฐบาลมากขึ้นก็คือการดำเนินนโยบายโควิดเป็นศูนย์ ที่บังคับใช้อย่างเข้มงวดมายาวนานตั้งแต่เริ่มการระบาดเมื่อปี 2020 เพราะนี่เป็นนโยบายที่กระทบหนักทั้งต่อเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชน
นับตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีกว่า 70 เมืองในจีนที่ถูกล็อกดาวน์ ทั้งแบบล็อกดาวน์บางส่วนและล็อกดาวน์ทั้งเมืองเพื่อควบคุมการระบาดของโควิด ส่งผลกระทบต่อประชาชนมากกว่า 300 ล้านคน
ขณะที่ในกรุงปักกิ่งซึ่งกำลังจะเป็นสถานที่จัดการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ ก็มีรายงานว่าทางการได้เพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการระบาดมากกว่าพื้นที่อื่นๆ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้ประชาชนเพิ่มขึ้นจนทำให้มีคนเข้าไปแสดงความเห็นไม่พอใจบนโลกออนไลน์เป็นจำนวนมาก
บีบีซีรายงานว่า ชาวเมืองปักกิ่งหลายสิบล้านคนต้องถูกตรวจหาเชื้อทุก 3 วัน มีการคัดกรองการเข้าอาคารทุกแห่ง และมีคำสั่งบังคับสวมหน้ากากอนามัย เจ้าหน้าที่ยังคุมเข้มการเดินทางเข้าเมือง และไม่สนับสนุนให้ประชาชนเดินทางออกจากกรุงปักกิ่งไปยังพื้นที่อื่น
มีหลายคนที่เดินทางไปต่างเมืองในช่วงวันหยุดวันชาติเมื่อต้นเดือนและกำลังจะเดินทางกลับกรุงปักกิ่ง แต่กลับพบว่า โค้ดสถานะสุขภาพของพวกเขา ซึ่งทำงานเก็บข้อมูลผ่านการสแกนคิวอาร์ โค้ด และจำเป็นสำหรับใช้ในเดินทางทั่วประเทศ แจ้งเตือนว่า พวกเขาเสี่ยงติดเชื้อโควิด ทำให้ไม่สามารถขึ้นรถไฟหรือเครื่องบินกลับกรุงปักกิ่งได้
ประชาชาชนหลายคนที่ได้รับผลกระทบบอกว่า นี่ทำให้พวกเขาไม่สามารถเดินทางกลับไปทำงานได้ และเสี่ยงที่จะต้องตกงาน พร้อมแสดงความไม่พอใจต่อการใช้มาตรการเข้มงวดอย่างไร้เหตุผลของทางการปักกิ่ง
โดยบางคนมองว่ามาตรการคุมเข้มที่กำลังเกิดขึ้นในกรุงปักกิ่งเป็นเรื่องการเมืองมากกว่าเรื่องสาธารณสุข ขณะที่บางคนบอกว่าถ้าคุมยอดให้เป็นศูนย์ไม่ได้จริงๆ ก็ควรปรับแนวทางนโยบาย
นับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา จีนรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากโควิดแล้ว 5,226 คน จากประชากรทั้งประเทศ 1,400 ล้านคน สัดส่วนผู้เสียชีวิตจากไวรัสนี้ถือได้ว่าน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
แม้ตัวเลขดังกล่าวอาจสะท้อนว่านโยบายโควิดเป็นศูนย์ช่วยรักษาชีวิตของผู้คนจากไวรัส แต่มาตรการเข้มงวดของทางการจีนกระทบหนักต่อเภาคศรษฐกิจ ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว การล็อกดาวน์ยังทำให้ห่วงโซ่การผลิตสินค้าต่างๆ ต้องชะงัก ส่วนอัตราการว่างงานของคนรุ่นใหม่ก็พุ่งสูงทำสถิติ
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF เพิ่งเผยการคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนปีนี้จะเติบโตเพียงร้อยละ 3.2 ลดลงจากปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 8.1
และในขณะที่กำลังจะมีการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ตลอดสัปดาห์หน้า ก็ทำให้หลายฝ่ายเกิดคำถามว่า ประธานาธิบดีสีและพรรคคอมมิวนิสต์จะยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ที่ส่งผลกระทบหนักต่อเศรษฐกิจจีนหรือไม่
นักวิเคราะห์บางคนมองว่า การเพิ่มมาตรการป้องกันโควิดอย่างเข้มงวดช่วงก่อนประชุมพรรคมีเหตุผลทางการเมืองมาเกี่ยวข้อง เนื่องจากทางการจีนไม่ต้องการให้มีการระบาดรุนแรงเกิดขึ้นสร้างรอยด่างพร้อยให้กับประธานาธิบดีสี ซึ่งมองว่าการคุมยอดผู้ติดเชื้อในประเทศเอาไว้ได้เป็นผลงานสำคัญ และเป็นจุดที่ทำให้เขารู้สึกเหนือกว่าผู้นำชาติอื่นๆ ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่าหลังการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ จีนจะยังคงเดินหน้านโยบายโควิดเป็นศูนย์ต่อไป
โดยเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ระหว่างการเยือนเมืองอู่ฮั่น สี จิ้นผิง ระบุว่าจีนต้องดำเนินนโยบายโควิดเป็นศูนย์ต่อไป แม้นี่อาจทำให้เศรษฐกิจบอบช้ำก็ตาม
ส่วนเมื่อวานนี้ ‘อู๋ ซุนหยู’ หัวหน้าหน่วยงานด้านระบาดวิทยาของจีนก็ยืนยันว่า จีนต้องยึดมั่นกับนโยบายโควิดเป็นศูนย์ เพราะนี่พิสูจน์แล้วว่ามาตรการนี้ประสบความสำเร็จทั้งในแง่วิทยาศาสตร์และประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม เมื่อไปถามประชาชนในจีน ก็มีคนที่หวังว่าอย่างน้อยทางการจะคลายความเข้มงวดของนโยบายโควิดเป็นศูนย์ลง
ทั้งนี้ จากท่าทีของทางการจีน ทำให้มีการคาดการณ์กันว่า จีนน่าจะยังใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ต่อไป และอาจจะลากยาวไปจนถึงปีหน้าด้วย
แต่การที่ฮ่องกงเริ่มผ่อนคลายการกักตัวและการตรวจหาเชื้อของผู้ที่เดินทางเข้าเมือง ก็อาจมีส่วนช่วยให้จีนแผ่นดินใหญ่ทบทวนนโยบายโควิดเป็นศูนย์ได้ หากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมที่เกิดขึ้นในฮ่องกงไม่ทำให้การระบาดรุนแรงเป็นกว้าง