โจเซฟ อู๋ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศไต้หวัน กล่าวว่า จีนมีแนวโน้มที่จะเพิ่มการโจมตีและการคุกคามไต้หวัน โดยเฉพาะทางการทูต ซึ่งจีนอ้างว่าไต้หวันเป็นมณฑลของตนเองที่แยกตัวออกไป แม้ว่าไต้หวันจะต่อต้านอย่างรุนแรงก็ตาม
โดยไต้หวันได้รับสัญญาณและข่าวกรองจากพันธมิตรด้านการทูตว่า จีนกำลังเพิ่มความพยายามในการชักจูงพันธมิตรของไต้หวัน ให้ยกเลิกการรับรองสถานะของไต้หวันและเปลี่ยนไปรับรองรัฐบาลจีนแทน
“สมศักดิ์” รีบแก้ปัญหาคนพ้นโทษ ออกมาก่อเหตุซ้ำ หลังราชกิจจาฯ ประกาศมีผลบังคับใช้ 90 วัน
ตั้งกรรมการสอบตำรวจ สภ.เดียวกัน หลังบ่ายเบี่ยง ไม่ยอมโอนเงินตามที่รับแจ้งความ
นับตั้งแต่ โจเซฟ อู๋ เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ จนถึงตอนนี้ มี 6 ประเทศที่เปลี่ยนไปรับรองจีนอย่างเป็นทางการแล้ว โดยให้เหตุผลว่าไต้หวันไม่มีสิทธิในความสัมพันธ์แบบรัฐกับรัฐ ขณะนี้มีเพียง 14 ประเทศเท่านั้นที่รับรองรัฐบาลไต้หวันอย่างเป็นทางการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศยากจนและประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคแปซิฟิก ลาตินอเมริกา และแคริบเบียน
ทั้งจีนและไต้หวันต่างกล่าวหาว่าแต่ละฝ่าย ใช้ “การทูตดอลลาร์" (dollar diplomacy) ซึ่งเป็นการใช้อำนาจทางการเงินของตนเองเพื่อขยายอิทธิพลระหว่างประเทศ และเพื่อชักจูงให้ประเทศอื่นๆ สร้างความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับพวกเขา
ทั้งนี้ หลังการประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคครั้งที่ 20 เสร็จสิ้นลงด้วยการที่สี จิ้นผิงได้รับเลือกเป็นเลขาธิการพรรคสมัยที่ 3 แสดงถึงการรวบอำนาจของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และเน้นย้ำถึง ‘การฟื้นฟูชาติ’ สโลแกนที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง พูดตั้งแต่ได้รับตำแหน่งเลขาธิการพรรคสมัยแรก ซึ่งอาจหมายถึงการผนวกรวมไต้หวัน และเป็นเป้าหมายที่ประธนาธิบดีสี จิ้นผิงมุ่งมั่นให้เกิดขึ้น
นอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกที่พรรคคอมมิวนิสต์แก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาระบุถึงการคัดค้านและขัดขวางความพยายามในการแบ่งแยกดินแดนของไต้หวันอย่างเด็ดขาดสะท้อนให้เห็นว่า นโยบายที่จีนมีต่อไต้หวันจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่มีแนวโน้มที่จะแข็งกร้าวมากขึ้น
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์มองว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มความเสี่ยงที่จีนจะใช้กำลังกับไต้หวันอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อรวมกับปัจจัยเรื่องคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ที่เป็นคนใกล้ชิดและภักดีต่อประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะยิ่งทำให้ไม่มีใครคัดค้านการตัดสินใจของผู้นำจีนเลย
ส่วนความเห็นของประชาชนไต้หวันเกี่ยวกับเรื่องนี้แตกต่างกันออกไป ประชาชนบางส่วนมองว่า การที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีอำนาจในการปกครองจีนอย่างสมบูรณ์ อาจส่งผลกระทบทางลบมากมายต่อไต้หวัน และคิดว่าไต้หวันควรเตรียมพร้อมต่อสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ขณะที่บางส่วนมองว่า จีนมีปัญหาภายในประเทศมากมาย จึงไม่น่าจะมีเวลามาคุกคามไต้หวันได้
ทั้งนี้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จีนได้เพิ่มแรงกดดันทางการทูตและทางการทหารเพื่อบังคับให้ไต้หวันยอมเป็นส่วนหนึ่งของจีน โดยเร่งสร้างอาวุธและพัฒากองทัพให้ทันสมัย รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการยับยั้งเชิงยุทธศาสตร์
ขณะที่รัฐบาลไต้หวันก็ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า สิทธิในการตัดสินใจอนาคตของไต้หวันขึ้นอยู่กับประชาชนไต้หวันจำนวน 23 ล้านคนเท่านั้น พร้อมระบุว่าไต้หวันไม่เคยถูกจีนปกครอง ดังนั้นการเรียกร้องอำนาจอธิปไตยจากไต้หวันถือเป็นโมฆะ
ด้วยสถานการณ์ความมั่นคงในไต้หวันที่ตึงเครียดมากขึ้น ทางการไต้หวันจึงได้ตัดสินใจเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมปี 2023 เป็น 1 หมื่น 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 6 แสน 9 หมื่นล้านบาท เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากจีน อย่างไรก็ตามตัวเลขนี้ต้องได้รับการอนุมัติจากสภาไต้หวันเสียก่อน และหากผ่านการอนุมัติ นี่จะกลายเป็นงบประมาณด้านกลาโหมที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของไต้หวัน