ทีมนักวิทยาศาสตร์ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) ระบุว่า พวกเขาได้ใช้เครื่องมือนี้ในการศึกษาฝุ่นละอองที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งการพัฒนาอุปกรณ์นี้จะสามารถช่วยโลกชะลอความร้อนจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ส่วนใหญ่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์
อุปกรณ์นี้ถูกติดตั้งบนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ของนาซาเมื่อเดือนกรกฎาคม โดยเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ที่ผ่านมา นาซา ระบุว่า แหล่งปล่อยก๊าซมีเทนกว่า 50 แห่ง พบอยู่ในภูมิภาคเอเชียกลาง ตะวันออกกลาง และทางแถบตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา
เหตุชุลมุนงานฮาโลวีน อิแทวอน ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่ม
สาวไทยใน "อิแทวอน" เล่าวินาทีเกิดเหตุ เห็นคนล้มต่อหน้าเป็นโดมิโน่
แอนดรูว์ โธร์ป นักเทคนิคการวิจัยของทีมห้องปฏิบัติการแรงขับเคลื่อนไอพ่นของนาซา หรือ JPL ผู้นำการศึกษาก๊าซมีเทน และหนึ่งในทีมที่ร่วมออกแบบและสร้าง EMIT ระบุว่า กลุ่มก๊าซมีเทนที่ EMIT ค้นพบในครั้งนี้ตรวจจับเร็วมากซึ่งถือว่าใช้ระยะเวลาอันสั้นที่เกินกว่าทางทีมคาดหวังไว้มาก
อย่างไรก็ตาม แหล่งปล่อยก๊าซมีเทนทั้ง 50 แห่งนี้ มีที่เคยถูกค้นพบมาก่อนแล้ว ในขณะที่บางแห่งเพิ่งถูกค้นพบ ส่วนใหญ่จะเป็นแหล่งทรัพยากรของน้ำมัน ก๊าซ หลุมฝังกลบขยะ ของเสีย หรือตามสถานที่ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีการใช้พลังงานฟอสซิลขับเคลื่อน หรือแม้กระทั่งแหล่งเพาะปลูกทางการเกษตร
นอกจากนึ้ ในเว็บไซต์ของนาซา ระบุว่า พบกลุ่มก๊าซมีเทนในพื้นที่กำจัดขยะซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของ กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน ในตะวันออกกลาง กลุ่มก้อนนี้มีความยาวประมาณ 4.8 กิโลเมตร
ขณะที่ใกล้ๆ กันอย่างในประเทศเติร์กเมนิสถาน ในเอเชียกลาง ก็ตรวจพบกลุ่มก้อนก๊าซมีเทนถึง 12 กลุ่มจากแหล่งผลิตน้ำมันและก๊าซในแถบใกล้ทะเลแคสเปียนที่เมืองท่าฮาซาร์ ซึ่งกลุ่มก๊าซมีเทนนี้ถูกลมพัดลอยต่อไปทางทิศตะวันตกอีกเป็นระยะทางกว่า 32 กิโลเมตรด้วย
ส่วนพื้นที่ในนครลอสแอนเจลิสของสหรัฐฯ พบว่าเป็นพื้นที่ที่มีการปล่อยก๊าซมีเทนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศเข้าขั้นระดับหายนะ
บิล เนลสัน ผู้บริหารของนาซาระบุว่าการควบคุมการปล่อยก๊าซมีเทนถือเป็นกุญแจสำคัญของการลดโลกร้อน เพราะก๊าซมีเทนนี้มีส่วนทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นประมาณร้อยละ 30 ซึ่งอุปกรณ์นี้ที่นาซาได้พัฒนาขึ้นมานั้นจะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยค้นหาว่าที่ไหนในโลกนี้ที่เป็นแหล่งปล่อยก๊าซมีเทน และเมื่อรู้ตำแหน่งแล้วก็จะทำให้สามารถเข้าไปหยุดยั้งการกระทำนั้นได้
รู้จัก “EMIT “
EMIT ถูกคิดขึ้นมาโดยเปรียบเสมือนไม้กวาดดักฝุ่นที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์จากห้องปฏิบัติการแรงขับเคลื่อนไอพ่นของนาซา หรือ JPL คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการสร้าง EMIT ขึ้นมา หลักการทำงานของ EMIT คือจะเคลื่อนจากสถานีอวกาศนานาชาติ ISS วนไปรอบๆ โลกทุกๆ 90 นาทีในระยะทางประมาณ 400 กิโลเมตร และสามารถสแกนพื้นที่ขนาดใหญ่ของโลกได้ เช่น สนามฟุตบอล ให้กลายเป็นจุดเล็กๆ ในมุมมองของ EMIT ไปเลย
ก่อนหน้านี้ EMIT รู้จักกันในชื่อว่าเป็นเครื่องตรวจสเปกตรัม (Spectrometer) เพื่อใช้ศึกษาและวิเคราะห์ส่วนประกอบของแร่ธาตุจากฝุ่นที่ลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศของโลก ซึ่งฝุ่นเหล่านี้มาจากพื้นที่ทะเลทราย หรือพื้นที่แห้งแล้งต่างๆ ก่อนที่ต่อมาทีม JPL จะพัฒนา EMIT ร่วมกับองค์กรไม่แสวงผลกำไร Carbon Mapper เพื่อตรวจจับแหล่งปล่อยก๊าซมีเทนรวมไปถึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตัวการทำลายโลกด้วย
ก๊าซมีเทน ตัวการทำโลกร้อน
ภาวะโลกร้อนที่ถูกพูดถึงมาอย่างยาวนาน ท่ามกลางความพยายามแก้ไขของหลายฝ่าย แต่ยิ่งโลกเจริญมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่ากิจกรรมของมนุษย์ที่กระทำต่อโลกไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย นับตั้งแต่ยุคของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในช่วงทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมา การปล่อยก๊าซมีเทนก็เพิ่มระดับขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นเท่าตัว เป็นที่ทราบกันดีว่าอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นมีผลมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง ในขณะที่ก๊าซมีเทนถูกจัดให้อยู่ในอันดับสองรองลงมา
แต่รายงานจากเว็บไซต์ Environmental Defense Fund ระบุว่า ก๊าซมีเทนทำให้โลกร้อนขึ้นมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 80 เท่า ในขณะที่ปัจจุบันพบว่าโลกร้อนขึ้นเพราะก๊าซมีเทนถึง ร้อยละ 25
ทั้งนี้ ก๊าซมีเทนที่ถูกปล่อยให้อยู่ในชั้นบรรยากาศของโลกจะมีอายุอยู่ราวๆ 10 ปี ก่อนที่จะเสื่อมสลายไป ขณะที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะอยู่ในชั้นบรรยากาศได้นานกว่าถึง 100 ปี แต่มีอานุภาพน้อยกว่า
อย่างไรก็ตาม นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยให้ก๊าซมีเทนสูญสลายไปเอง เพราะถ้าต้องรอถึง 10 ปีโดยที่ไม่มีการแก้ไข โลกอาจจะถูกแผดเผาจากความร้อนของการปล่อยก๊าซพิษนี้ก่อนมันจะเสื่อมสลายไปเสียอีก และวันนั้นอาจจะกลายเป็นวันสิ้นโลกก็เป็นได้
ฉะนั้น ความพยายามในการลดระดับการปล่อยก๊าซมีเทน เริ่มเห็นชัดมากขึ้นพอๆ กับความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น การเพิ่มความร่วมมือที่มากขึ้นของประเทศสมาชิกในข้อตกลงปารีส หรือแม้แต่การเปลี่ยนจากการใช้พลังงานถ่านหินและฟอสซิลมาเป็นพลังงานสะอาดทดแทนที่ยั่งยืนและมั่นคงมากกว่า
อย่างรายงานการประชุมล่าสุดของทบวงพลังงานระหว่างประเทศ หรือ IEA เผยข่าวดีในเหตุการณ์ร้ายๆ ของสงครามรัสเซีย-ยูเครน สืบเนื่องจากการขาดแคลนพลังงานฟอสซิลและก๊าซธรรมชาติ ทำให้หลายประเทศเริ่มคิดที่จะลงทุนอย่างจริงจังกับโครงการพลังงานสะอาด โดย IEA คาดการณ์ว่าทั่วโลกจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 นับตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงปี 2030 และจะเป็นยุคอวสานของน้ำมันในที่สุดด้วย ในขณะที่ IEA ยังหยิบยกฉากทัศน์ในปี 2050 ว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ณ เวลานั้นจะแตะระดับ 0 ซึ่งจะมีผลทำให้อุณหภูมิโลกอยู่ในระดับที่ข้อตกลงปารีสต้องการคือ 1.5 องศาเซลเซียส