แม้ว่า "เกาหลีใต้" จะยิงโต้กลับเพื่อส่งสัญญาณเตือนก็ตาม ท่าทีที่แข็งกร้าวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดของ "เกาหลีเหนือ" ทำให้เกาหลีใต้และญี่ปุ่นต้องมีการเตรียมแผนรับมือ ในกรณีของญี่ปุ่นมีรายงานระบุว่า รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังเร่งหายุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยอย่างขีปนาวุธความเร็วสูงไว้ประจำการ ขณะที่เกาหลีใต้ก็มีพันธมิตรที่สำคัญอย่างสหรัฐฯ ประกาศปกป้องอย่างเต็มที่
เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธ 2 ลูกตกนอกชายฝั่งตะวันออก
ระอุ! เกาหลีใต้ส่งฝูงบินขึ้นฟ้า พบเครื่องบินรบโสมแดงใกล้ชายแดน 180 ลำ
เมื่อคืนที่ผ่านมา ( 3 พ.ย.) ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐได้เข้าหารือกับอี จง-ซอบ (Lee Jong-sup) รัฐมนตรีกลาโหมของเกาหลีใต้ ก่อนจะออกมาแถลงข่าวประณามการกระทำของเกาหลีเหนือ
โดยระบุว่า นี่คือการการทำที่ไร้ความรับผิดชอบ และสหรัฐฯ จะทำทุกทางเพื่อปกป้องเกาหลีใต้จากภัยคุกคามของเกาหลีเหนือ
สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งที่รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่าต้องทำเพื่อเป็นการปกป้องเกาหลีใต้ คือ การเพิ่มประสิทธิภาพของนโยบายป้องปรามนิวเคลียร์แบบขยาย หรือ extended deterrence
การประกาศเพิ่มศักยภาพด้านการป้องปรามนิวเคลียร์ให้เกาหลีใต้ เกิดขึ้นหลังจากที่เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธอย่างน้อย 23 ลูก และมี 1 ลูกที่ไปตกใกล้ Northern Limit Line หรือแนวจำกัดตอนเหนือ
แนวจำกัดตอนเหนือหรือ Northern Limit Line คือเส้นที่ทำหน้าที่เป็นเส้นพรมแดนทางทะเล ระหว่างเกาหลีเหนือและใต้ในบริเวณทะเลเหลืองและทะเลตะวันออก
เส้นแบ่งพรมแดนทางทะเลนี้ถูกขีดไว้หลังสิ้นสุดสงครามเกาหลีเมื่อปี 1953 โดยกองกำลังสหประชาชาติที่นำโดยสหรัฐฯ
สำหรับเกาหลีใต้ การที่ขีปนาวุธของเกาหลีเหนือมาตกบริเวณนี้คือรุกล้ำน่านน้ำของประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่เกาหลีแยกประเทศเมื่อ 74 ปีที่แล้ว
เกาหลีใต้ตอบโต้กลับทันทีด้วยการส่งเครื่องบินขับไล่ยิงขีปนาวุธจากอากาศสู่พื้นหรือ Air to Surface จำนวน 3 ลูก ข้ามเส้นแนวจำกัดตอนเหนือหรือ Northern Limit Line ไปตกในทะเลตะวันออกทางฝั่งเกาหลีเหนือ
และไม่ถึง 24 ชั่วโมงต่อมา เช้าวันพฤหัสที่ 3 พฤศจิกายน เกาหลีเหนือก็ยิงขีปนาวุธอีก 3 ลูก ไปยังทะเลตะวันออก โดยหนึ่งในนั้น ทางการเกาหลีใต้ระบุว่าเป็นขีปนาวุธข้ามทวีปหรือ ICBM อย่างไรก็ตาม การทดสอบเมื่อวานนี้ของเกาหลีเหนือยังไม่ประสบความสำเร็จ เพราะขีปนาวุธลูกดังกล่าวหายไปกลางอากาศ ไม่เข้าเป้า
ล่าสุดสื่อต่างประเทศหลายสำนักรายงานไปในทิศทางเดียวกันว่า ขีปนาวุธชนิดข้ามทวีปที่เกาหลีเหนือทดสอบในครั้งนี้อาจเป็นขีปนาวุธฮวาซอง-17 ที่ทางการเกาหลีเหนือเปิดตัวไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา
จึงเป็นที่มาของการประกาศของรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯว่า จะมีการเพิ่มการป้องปรามด้านนิวเคลียร์ให้เกาหลีใต้
ขณะที่รัฐมนตรีกลาโหมเกาหลีใต้ระบุว่า การเพิ่มขีดความสามารถ ไม่เพียงแค่ด้านการป้องปรามนิวเคลียร์เท่านั้น แต่จะรวมถึงความสามารถด้านอวกาศและไซเบอร์ ด้วย
และหลังจากเมื่อวานนี้เกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีป ก็ทำให้สหรัฐฯและเกาหลีใต้ ประกาศขยายเวลาการซ้อมรบร่วมไปจนถึงวันเสาร์นี้ จากเดิมที่จะต้องสิ้นสุดในวันนี้
โดยการซ้อมรบครั้งนี้เริ่มขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาภายใต้รหัส "VIGILANT STORM 23” เป็นการซ้อมรบร่วมทางอากาศที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งมีทหารจากทั้งสองชาตินับหมื่นนายเข้าร่วม พร้อมยุทโธปกรณ์ทันสมัยจำนวนมาก
เฉพาะเครื่องบินรบมีถึง 240 ลำ รวมถึงเครื่องบินขับไล่ล่องหน ( stealth fighter) แบบ F-35 ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในเครื่องบินขับไล่ที่ทันสมัยที่สุดของโลกในปัจจุบันเข้าร่วมด้วย
หลังสองชาติประกาศขยายเวลาซ้อมรบร่วม รัฐบาลเกาหลีเหนือออกมาแสดงความโกรธเกรี้ยวทันที ผ่านทางกระบอกเสียงรัฐบาลเปียงยาง อย่างสถานีโทรทัศน์ KCNA
โดยพัค จอง ชอน (Pak Jong Chon) เลขาธิการคณะกรรมาธิการกลางของพรรคแรงงาน ระบุว่าการตัดสินใจขยายระยะเวลาซ้อมรบของสหรัฐฯ และเกาหลีใต้คือการผลักให้สถานการณ์อยู่นอกเหนือการควบคุม
หลังจากเกาหลีเหนือออกแถลงการณ์ไม่ถึงชั่วโมง ก็ได้ยิงขีปนาวุธพิสัยใกล้อีก 3 ลูก ไปยังทิศทางทะเลตะวันออก
รายงานจากคณะเสนาธิการร่วมเกาหลีใต้ระบุว่า ขีปนาวุธทั้งหมดถูกยิงมาจากจังหวัดฮวางแฮเหนือ ช่วงเวลาประมาณ 21.35 น คืนวานนี้ ตามเวลาท้องถิ่น และช่วงประมาณ 23.30 น เกาหลีเหนือได้ยิงปืนใหญ่อีกราว 80 นัด เข้าเขตกันชนทางทหารในทะเลตะวันออก
นอกจากนี้ เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมาสำนักข่าวยอนฮับของเกาหลีรายงานว่า ทางการเกาหลีใต้ได้ส่งเครื่องบินเจ็ทขับไล่หลายลำขึ้นไปบนน่านฟ้า หลังจากที่ตรวจพบกิจกรรมของเครื่องบินรบเกาหลีเหนือกว่า 180 จุดบนจอเรดาร์
สำนักข่าวยอนฮับรายงานโดยอ้างคำแถลงของคณะเสนาธิการร่วมว่า เครื่องบินของเกาหลีเหนือที่รุกล้ำน่านฟ้าเกาหลีใต้นั้นเป็นเครื่องบินรบและเครื่องบินทิ้งระเบิด ซึ่งคาดว่าเข้ามาในช่วง 11.00-15.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น
โดยเครื่องบินของเกาหลีเหนืออยู่บริเวณพื้นที่ภายในประเทศและนอกชายฝั่งทั้งทางตะวันตกและตะวันออก อีกชาติหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากความแข็งกร้าวของเกาหลีเหนือคือ ญี่ปุ่น
ขีปนาวุธที่เกาหลีเหนือยิงออกมาเมื่อวันพุธและพฤหัสที่ผ่านมา บางลูกไปตกในน่านน้ำที่เป็นเขตเศรษฐกิจจำเพาะของญี่ปุ่น ทำให้ญี่ปุ่นต้องเปิดระบบเตือนภัยขีปนาวุธ หรือ J Alert และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ญี่ปุ่นต้องเปิดระบบเตือนภัยขีปนาวุธ
เมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธลูกหนึ่งผ่านน่านฟ้าญี่ปุ่นจนสัญญานเตือนภัยดังขึ้นทั่วกรุงโตเกียว ก่อนที่จะปิดสัญญานหลังขีปนาวุธตกลงในทะเลตะวันออก
หลังจากนั้นอีก 2 วัน เกาหลีเหนือก็ยิงขีปนาวุธเข้าใส่น่านฟ้าญี่ปุ่นอีกครั้งโดยคราวนี้ลูกหนึ่งเป็นขีปนาวุธพิสัยใกล้ 1 ลูกและพิสัยกลาง 1 ลูก โดยทั้งหมดตกในทะเลตะวันออกเช่นเดียวกัน
เหตุการณ์นั้นถือเป็นครั้งแรกที่ญี่ปุ่นเปิดใช้ระบบเตือนภัยขีปนาวุธที่ติดตั้งไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว และการเปิดระบบเตือนภัยขีปนาวุธอีกครั้งเมื่อวานทำให้ชาวญี่ปุ่นส่วนหนึ่งเริ่มรู้สึกว่า ภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือใกล้ตัวมากขึ้นเรื่อยๆ