ล่าสุด ผู้นำจีนได้ลงนามในข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์กับซาอุดีอาระเบีย รวมถึงข้อตกลงอีกหลายฉบับครอบคลุมความร่วมมือหลายด้าน มูลค่าถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
โดยนี่อาจสะท้อนให้เห็นความพยายามของจีนที่ต้องการฟื้นเศรษฐกิจที่เจอผลกระทบหนักจากโควิดและการล็อกดาวน์ และความพยายามของซาอุฯ ในการสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจและการเมืองที่หลากหลาย มากกว่าการเพิ่งพาสหรัฐฯ เป็นหลักอย่างที่ผ่านมา
"สี จิ้นผิง" เตรียมเยือนซาอุฯ สัญญาณยกระดับสัมพันธ์
ไม่มีศัตรูถาวร! สี จิ้นผิง พร้อมจับมือกับสหรัฐฯ เพื่อผลประโยชน์
การลงนามในข้อตกลงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน และกษัตริย์ซัลมานของซาอุดีอาระเบียมีขึ้นเมื่อวานนี้ที่พระราชวังในกรุงริยาด
สื่อรัฐบาลซาอุฯ ไม่ได้เผยรายละเอียดของข้อตกลงดังกล่าว แต่สำนักข่าวซินหัวของรัฐบาลจีนระบุว่า ภายใต้ข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้มีการหารือระหว่างประมุขของรัฐของทั้งสองประเทศในทุกๆ 2 ปี
นอกจากข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่ประมุขของรัฐทั้งสองฝั่งลงนามแล้ว ยังมีชุดข้อตกลงอีก 34 ฉบับที่เป็นการลงนามในระดับเจ้าหน้าที่ ครอบคลุมการลงทุนทั้งในด้านพลังงานสะอาด เทคโนโลยีข้อมูล บริการคลาวด์ การขนส่ง การก่อสร้าง และอื่นๆ ซึ่งมีมูลค่ารวม 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 1 ล้านล้านบาท
หนึ่งในข้อตกลงที่ถูกพูดถึงก็คือข้อตกลงที่เปิดทางให้หัวเว่ย บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีนสามารถทำงานในโครงการคลาวด์คอมพิวติ้ง และการสร้างสิ่งปลูกสร้างเกี่ยวกับเทคโนโลยีขั้นสูงในเมืองต่างๆ ของซาอุดีอาระเบีย ไม่สนสหรัฐฯ ที่ได้แสดงความกังวลต่อพันธมิตรอาหรับในเรื่องความเสี่ยงด้านความมั่นคงในการใช้เทคโนโลยีของบริษัทจีน
โดยที่ผ่านมา หัวเว่ยก็ได้มีส่วนร่วมในการสร้างเครือข่าย 5G ในประเทศแถบอ่าวเปอร์เซียส่วนใหญ่ แม้สหรัฐฯ ได้แสดงความกังวลไปแล้วก็ตาม
นอกจากการลงนามข้อตกลงต่างๆ แล้ว ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังได้หารือกับมกุฎราชกุมารโมฮัมหมัด บิล ซัลมาน ที่เรียกได้ว่าเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของซาอุฯ ตอนนี้ โดยระหว่างการหารือประธานาธิบดีสีได้ประกาศว่านี่เป็นการเข้าสู่ “ยุคใหม่” แห่งความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับโลกอาหรับ และจีนพร้อมทำงานร่วมกับซาอุดีอาระเบียในการผลักดันการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างกัน
ขณะเดียวกัน ในบทความพิเศษของสี จิ้นผิง ที่ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อของซาอุดีอาระเบีย ผู้นำจีนก็ระบุว่าจีนและประเทศอาหรับจะเดินหน้ายึดมั่นต่อการไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน
การเยือนต่างประเทศครั้งที่ 3 ของผู้นำจีนนับตั้งแต่เกิดการระบาดใหญ่ของโควิด-19 และถือเป็นการเยือนซาอุดีอาระเบียครั้งแรกของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในรอบ 6 ปี
มีการตั้งข้อสังเกตว่า ซาอุดีอาระเบียจัดการต้อนรับการเยือนของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ยิ่งใหญ่ แตกต่างจากตอนที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ เดินทางเยือนเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งอาจสะท้อนให้เห็นความตั้งใจของซาอุดีอาระเบียที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการกระชับความสัมพันธ์กับจีน ในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ซาอุ-สหรัฐฯ ไม่แน่นอน
นอกจากหารือกับผู้นำซาอุดีอาระเบียแล้ว ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังได้ร่วมประชุมสุดยอดจีนและรัฐอาหรับเป็นครั้งแรก รวมถึงประชุมสุดยอดกับสมาชิกสภาความร่วมมือแถบอ่าวเปอร์เซีย 6 ประเทศ หรือ GCC ซึ่งได้แก่ ซาอุฯ คูเวต สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ บาห์เรน และโอมาน ในกรุงริยาดด้วย
ไม่มีการเผยรายละเอียดวาระการหารือออกมามากนัก แต่คาดการณ์ว่าประเด็นการค้าเสรีจีน-GCC น่าจะเป็นหนึ่งในหัวข้อหารือ โดยข้อตกลงการค้าเสรีนี้เป็นหัวข้อที่อยู่ภายใต้การเจรจามานานเกือบ 2 ทศวรรษแล้ว
ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนให้เห็นการเดินหน้าขยายอิทธิพลของจีนในตะวันออกกลางได้เป็นอย่างดี นอกจากข้อตกลงการค้าการลงทุนหลายฉบับที่ได้มีการลงนามร่วมกับซาอุดีอาระเบีย อีกเรื่องที่สำคัญของการเยือนซาอุดีอาระเบียของผู้นำจีนคือ น้ำมัน
ในฐานะประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลก จีนพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากต่างประเทศสูงมาก นี่ทำให้ ‘เอสวาร์ ปราสาด’ (Eswar Prasad) ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายการค้าจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ในสหรัฐฯ มองว่า การมีอุปทานพลังงานที่มีเสถียรภาพ ทั้งในแง่ราคาและปริมาณจึงเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกของประธานาธิบดีสี
จีนเป็นลูกค้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของซาอุดีอาระเบีย และในวันที่ตลาดพลังงานโลกปั่นป่วนหนักนับตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครน สิ่งที่จีนทำคือยิ่งต้องหันหน้าหาซาอุดีอาระเบียในฐานะผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก
เพราะแม้จีนจะสามารถซื้อน้ำมันราคาถูกจากรัสเซียได้ เนื่องจากอยู่ในฐานะชาติที่ไม่ได้คว่ำบาตรรัสเซีย แต่นักวิเคราะห์ก็มองว่าการสร้างแหล่งพลังงานที่หลากหลายเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับจีน เนื่องจากไม่มีอะไรรับรองได้ว่าความสัมพันธ์ของจีนและรัสเซียจะกระชับแน่นไปตลอดดังนั้น เราจึงเห็นปริมาณน้ำมันที่จีนซื้อจากซาอุดีอาระเบียเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
โดยโกลบอลไทม์ส สื่อของพรรคคอมมิวนิสต์จีนรายงานอ้างอิงหน่วยงานศุลกากรของจีนที่ระบุว่า ปี 2021 จีนนำเข้าน้ำมันดิบจากซาอุดีอาระเบีย 87.56 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 84.92 ล้านตัน และตั้งแต่เดือนมกราคมถึงตุลาคมปีนี้ จีนนำเข้าน้ำมันดิบจากซาอุฯ แล้วถึง 73.76 ล้านตัน
ทั้งนี้ รายงานของซีเอ็นเอ็นระบุว่า เมื่อเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคมที่ผ่านมา รัสเซียคือผู้ค้าน้ำมันเบอร์ 1 ของจีน ก่อนที่ในเดือนสิงหาคม ซาอุดีอาระเบียกลับมาครองแชมป์แซงรัสเซียไปได้
นอกเหนือจากปริมาณการซื้อขายที่มากขึ้น การค้าน้ำมันระหว่างซาอุฯกับจีนอาจก้าวไปอีกขั้นรายงานจากหนังสือพิมพ์เดอะวอลล์ สตรีทเจอนัลว่า รัฐบาลซาอุฯ ได้พูดคุยกับจีนถึงการค้าขายน้ำมันบางส่วนให้กับจีนเป็นสกุลเงินหยวนแทนดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งหากข้อตกลงนี้เกิดขึ้นจริง ก็จะสามารถเป็นแรงหนุนสำคัญให้กับความทะเยอทะยานของจีนที่ต้องการขยายอิทธิพลของสกุลเงินของตัวเองในตลาดโลก
นอกจากจีนที่น่าจะได้ประโยชน์อย่างกว้างขวางจากการเยือนซาอุดีอาระเบียครั้งนี้ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แล้ว อีกคำถามสำคัญคือซาอุดีอาระเบียได้อะไรจากการเยือนของผู้นำจีน
คำตอบก็คือ ความสัมพันธ์ที่กระชับแน่นขึ้นกับจีน อาจเป็นประโยชน์กับซาอุดีอาระเบียในวันที่ความสัมพันธ์กับพันธมิตรหลักอย่างสหรัฐฯ ตกต่ำลง
สหรัฐฯกับซาอุดีอาระเบียพึ่งหาอาศัยกันมานานกว่า 80 ปี ในฐานะพันธมิตร สหรัฐฯได้น้ำมันจากซาอุฯ ในขณะที่ซาอุฯได้หลักประกันด้านความมั่นคงจากสหรัฐฯ ที่มาในรูปของฐานทัพ ระบบป้องกันภัยทางอากาศและการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยมากมาย เพื่อช่วยให้ซาอุดีอาระเบียอยู่รอดปลอดภัยจากศัตรูอันดับ 1 ในภูมิภาคอย่างอิหร่าน
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ของ 2 ชาติตกต่ำลงต่อเนื่อง หนักๆที่สุดเริ่มขึ้นในปี 2015 เมื่อสหรัฐฯ หันไปขึ้นโต๊ะเจรจากับอิหร่าน ถึงแม้เป้าหมายของสหรัฐจะคือการยุติโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านซึ่งเป็นสิ่งที่จะเป็นประโยชน์กับซาอุดีอาระเบีย แต่ซาอุดีอาระเบียไม่เห็นด้วยกับวิธีการนี้
ความสัมพันธ์ตกต่ำลงมาอีกเมื่อถึงสหรัฐฯกล่าวหาว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชการกุมารแห่งซาอุดีอาระเบียเป็นผู้บงการฆ่าจามาล คาช็อกกี คอลัมน์นิสต์วอชิงตันโพสต์ ชาวซาอุดีอาระเบียที่มักวิจารณ์รัฐบาลซาอุฯ
ซาอุดีอาระเบียเริ่มเมินเฉยต่อคำขอร้องของมิตรเก่าอย่างสหรัฐฯ ตัวอย่างที่ชัดเจนว่าสุดคือ การที่ไม่ยอมปรับขึ้นปริมาณการผลิตน้ำมันดิบให้ตามที่สหรัฐฯร้องขอถึงแม้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะเดินทางไปที่ซาอุดีอาระเบียด้วยตัวเองเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
ความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ที่ตกต่ำลงทำให้ซาอุดีอาระเบียต้องหาพันธมิตรใหม่ ในวันที่สหรัฐฯ อาจทอดทิ้งซาอุดีอาระเบียในฐานะผู้ให้หลักประกันด้านความมั่นคง
แม้ตอนนี้ ความสัมพันธ์จีน-ซาอุฯ อยู่บนพื้นฐานด้านการค้าเป็นหลัก และจีนยังห่างไกลจากการเข้ามาแทนที่สหรัฐฯ ในการเป็นผู้ให้หลักประกันความมั่นคงกับซาอุดีอาระเบีย แต่ความสัมพันธ์ระหว่างกันที่กระชับแน่นระหว่างจีนและซาอุดีอาระเบียก็ทำให้สหรัฐฯ ต้องจับตา