ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน (หรือที่หลายคน รวมถึงประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน เรียกว่า “สงคราม”) ดำเนินมาย่างเข้าเดือนที่ 11 แล้ว และกำลังจะก้าวเข้าสู่ปีที่ 2 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทำให้หลายฝ่ายต่างออกมาประเมินและคาดการณ์ทิศทางของสงคราม ในปี 2023 ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปกันแน่ จะสิ้นสุดบนโต๊ะเจรจา จะดำเนินต่อไปในลักษณะเดิม หรือจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
รัสเซียส่งสัญญาณเตรียมเปิดท่อส่งก๊าซธรรมชาติไปยังยุโรปอีกครั้ง
ผู้นำยูเครน วอนอินเดีย ประธานกลุ่มG20 ในปีหน้า หนุนแผน “สูตรสันติภาพ”
"ปูติน" ประกาศพร้อมเจรจา ยันบุกยูเครนเพื่อปกป้องรัสเซีย
รัสเซียรุกหนักอีกครั้งในฤดูใบไม้ผลิ
สงครามรัสเซีย-ยูเครนเริ่มขึ้นเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ตรงกับช่วงที่ฤดูหนาวสิ้นสุดลงเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงพอดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นหนึ่งในหลักการสู้รบที่มักจะไม่ทำสงครามในหน้าหนาว เพราะมีอุปสรรคหลายอย่าง โดยเฉพาะหิมะและความหนาวเหน็บ
ไมเคิล คลาร์ก รองผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์ศึกษา มหาวิทยาลัยเอ็กเซเตอร์ สหราชอาณาจักร ประเมินว่า กองทัพรัสเซียขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงเตะถ่วงเวลา เพื่อรอให้ฤดูใบไม้ผลิเวียนมาบรรจบอีกครั้ง จึงจะเปิดฉากการโจมตีเต็มกำลังครั้งใหม่
เขาบอกว่า “สถานการณ์ขณะนี้ทั้งสองฝ่ายอยู่ในภาวะคอขวด จำเป็นต้องหยุดชั่วคราว (มีเพียงการปะทะเล็ก ๆ น้อย ๆ) ทั้งสองฝ่ายจะทำเพียงแค่พยายามรักษาพื้นที่ที่ยึดไว้ได้ในปัจจุบัน”
ที่คลาร์กวิเคราะห์ออกมาอย่างนี้ เป้นเพราะก่อนหน้านี้ ปูตินออกมายอมรับว่า กองกำลังสำรองที่เพิ่งระดมพลมามากกว่า 300,000 นั้น มีเพียงประมาณ 50,000 นายที่อยู่ในแนวหน้า ที่เหลืออีกกว่า 250,000 นายกำลังเข้ารับการฝึกอยู่ จึงเป็นเหตุให้คาดได้ว่า รัสเซียกำลังเตรียมความพร้อมสำหรับการบุกหนักในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า
นอกจากนี้ ความเป็นไปได้ที่ว่ายูเครนจะเป็นฝ่ายรุกก่อนในปีหน้าก็เป็นเรื่องที่จะตัดออกไปไม่ได้เช่นกัน เพราะเพิ่งได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธอีกยกใหญ่จากสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร
ยูเครนจะชิงพื้นที่คืนกลับมาได้ จบที่การเจรจา
แอนเดร พิออนคอฟสกี นักวิทยาศาสตร์และนักวิเคราะห์สงคราม มองว่า ยูเครนจะได้รับชัยชนะ โดยจะสามารถฟื้นฟูบูรณภาพแห่งดินแดนได้อย่างสมบูรณ์ภายในฤดูใบไม้ผลิปี 2023 เป็นอย่างช้า
เขาบอกว่า มีปัจจัย 2 ประการที่ทำให้เขาได้ข้อสรุปนี้ หนึ่งคือแรงจูงใจ ความมุ่งมั่น และความกล้าหาญของกองทัพและชาวยูเครนโดยรวม ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ อีกประการหนึ่งคือ พันธมิตรตะวันตกตระหนักถึงความท้าทายทางจากรัสเซียที่เผชิญอยู่
พิออนคอฟสกีบอกว่า ตัวที่จะกำหนดว่า ชัยชนะเป็นของยูเครนแน่นอนแล้ว คือขึ้นอยู่กับว่า กลุ่มพันธมิตรนาโต (NATO) จะสามารถส่งอาวุธทางทหารชุดใหม่ที่จะเปลี่ยนเกม (รถถัง เครื่องบิน ขีปนาวุธพิสัยไกล) มาให้ยูเครนได้เร็วแค่ไหน
หากมีแรงกดดันมากพอ การยอมจำนนของรัสเซียจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ผ่านการเจรจาทางเทคนิค
เขายังวิเคราะห์ด้วยว่า จุดยุทธศาสตร์สำคัญที่น่าจับตามองคือเมืองเมลิโทโปล (Melitopol) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของยูเครน
“ผมคาดว่า เมืองเมลิโทปอลจะกลายเป็นจุดต่อสู้ที่สำคัญในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หรืออาจไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เมื่อเข้ายึดครองเมลิโทโปลได้แล้ว ยูเครนจะเคลื่อนพลไปที่ทะเลอาซอฟได้อย่างง่ายดาย สามารถตัดสายเสบียงและการสื่อสารไปยังไครเมียได้อย่างมีประสิทธิภาพ” พิออนคอฟสกีกล่าว
สงครามจะยังไม่สิ้นสุด ถ้าไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในรัสเซีย
บาร์บารา ซานเช็ตตา จากภาควิชายุทธศึกษา มหาวิทยาลัยคิงส์คอลเลจลอนดอน ประเมินว่า การคำนวณที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรงของปูตินว่ายูเครนจะยอมสยบโดยง่าย เป็นสิ่งที่นำมาสู่ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อและดูเหมือนจะไม่สิ้นสุดนี้
เธอบอกว่า โอกาสในการเจรจานั้นมีอยู่น้อยมาก ข้อตกลงสันติภาพจะไม่เกิดตราบใดที่ความต้องการของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังไม่เปลี่ยนแปลง จากการที่ยูเครนต้องการดินแดนที่ถูกรัสเซียผนวกไปคืน ขณะที่รัสเซียก็ต้องการให้ยูเครนยอมรับการผนวกดินแดนไครเมีย ดอนบาส
ซานเช็ตตาบอกว่า หากจะให้สงครามนี้จบลง กุญแจสำคัญอยู่ในรัสเซีย โดยเมื่อไรก็ตามที่ชนชั้นนำทางการเมืองของรัสเซียเห็นแล้วว่า ต้นทุนของการทำสงคราม ทั้งทรัพยากรวัตถุและมนุษย์มีอยู่สูงมาก ก็อาจทำลายความมุ่งมั่นของชนชั้นนำเหล่านั้น
เธอบอกว่า สงครามในอดีตซึ่งมีการคำนวณผิดพลาด เช่น สงครามเวียดนามของสหรัฐฯ หรือสงครามอัฟกานิสถานของสหภาพโซเวียต ก็จบลงด้วยวิธีนี้ เมื่อความเห็นของชนชั้นนำทางการเมืองภายในประเทศเปลี่ยนแปลงไป ก็จะนำไปสู่การถอนกำลังโดยไม่ว่าจะ “มีเกียรติ” หรือไม่ก็ตาม
สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อตะวันตกยืนหยัดในการสนับสนุนยูเครน ซึ่งพันธมิตรเองก็กำลังเผชิญแรงกดดันภายในประเทศจากต้นทุนในการสนับสนุนยูเครนเช่นกัน
ทั้งนี้ คาดว่าความเปลี่ยนแปลงภายในรัสเซียไม่น่าจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ จึงเป้นไปได้ว่า จนภายในสิ้นปี 2023 สงครามครั้งนี้ก็อาจจะยังคงดำเนินต่อไป
รัสเซียพ่ายแพ้ยับเยิน
เบน ฮอดเจส อดีตผู้บัญชาการทหารกองทัพสหรัฐฯ ภาคพื้นยุโรป บอกว่า “ยังเร็วเกินไปที่จะจัดพาเหรดฉลองชัยชนะในยูเครน แต่โมเมนตัมทั้งหมดขณะนี้อยู่ที่ฝั่งยูเครน และไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ในใจของผมเลยว่า พวกเขาจะชนะสงครามครั้งนี้ อาจจะเป็นในปี 2023”
เขาบอกว่า แต่สถานการณ์ต่าง ๆ จะเคลื่อนตัวไปอย่างช้าลงในช่วงฤดูหนาว แต่คาดว่ากองกำลังของยูเครนจะสามารถรับมือได้ดีกว่าของรัสเซีย เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากทั้งสหราชอาณาจักร แคนาดา และเยอรมนี ในการรับมือฤดูหนาว โดยเฉพาะในด้านโลจิสติกส์
ดังนั้น ภายในเดือน ม.ค. 2023 ยูเครนอาจพร้อมที่จะเริ่มปฏิบัติการปลดปล่อยภูมิภาคไครเมียที่ถูกรัสเซียยึดไปเมื่อปี 2014
“เรารู้จากประวัติศาสตร์ว่า สงครามเป็นบททดสอบความมุ่งมั่นและความสามารถด้านโลจิสติกส์และการขนส่งของกองทัพ เมื่อผมเห็นความมุ่งมั่นของประชาชนและทหารยูเครน และสถานการณ์ด้านโลจิสติกส์ที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็วในฝั่งของยูเครน ทำให้ผมไม่เห็นผลลัพธ์อื่นนอกจากความพ่ายแพ้ของรัสเซีย” ฮอดเจสกล่าว
สงครามดำเนินไปในลักษณะเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เดวิด เกนเดลแมน ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารจากอิสราเอล ประเมินว่า กองกำลังรัสเซียที่ถูกระดมพลมาซึ่งยังไม่ได้ถูกส่งมายังสมรภูมิ รวมกับกองกำลังที่ถอยออกมาจากภูมิภาคเคอร์ซอน ทำให้รัสเซียมีโอกาสเปิดฉากการรุกหนักครั้งใหม่
โดยการยึดครองแคว้นลูฮานสก์และโดเนตสก์ในภูมิภาคดอนบาส (ยูเครนตะวันออก) จะดำเนินต่อไป และมีความเป็นไปไดสูงที่รัสเซียจะเลือกสานต่อความต่อเนื่องของยุทธวิธีปัจจุบัน คือพยายามบดขยี้กองกำลังยูเครนอย่างช้า ๆ ในพื้นที่บัคมุตและอัฟดิฟกา
ส่วนสำคัญของกลยุทธ์นี้คือ การทำลายโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและการโจมตีแนวหลังของยูเครน ซึ่งจะทำให้ยูเครนค่อย ๆ ถูกพร่าผลาญกำลังไปทีละน้อย
ขณะที่ยูเครนจะยังคงมุ่งให้ความสำคัญกับพื้นที่ทางใต้ เช่น เมลิโทโปล หรือเบอร์เดียนสก์ โดยมีเป้าหมายเพื่อตัดเส้นทางระหว่างแผ่นดินใหญ่ของรัสเซียกับภูมิภาคไครเมีย ซึ่งหากทำสำเร็จ จะเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของยูเครน
เกนเดลแมนมองว่า ยังไม่ชัดเจนว่าฝ่ายใดจะชนะ ขึ้นอยู่กับว่ากลยุทร์ของใยใดจะประสบความสำเร็จก่อนกัน และหากไม่มีฝ่ายใดทำสำเร็จเลย สงครามก็จะดำเนินต่อไปในลักษณะเดิม ๆ
เรียบเรียงจาก BBC
ภาพจาก AFP / Shutterstock