เมื่อสัปดาห์ที่แล้วอย่างไรก็ดี อีกพื้นที่หนึ่งในสนามรบที่หลายฝ่ายให้ความสนใจคือ "สมรภูมิโซเลียดาร์" ทางภาคตะวันออกของยูเครน ซึ่งมีการต่อสู้อย่างดุเดือด
ล่าสุดรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหราชอาณาจักรเปิดเผยว่า กองทัพรัสเซียอาจยึดเมืองโซเลียดาร์ได้ทั้งหมดแล้ว
เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา สำนักข่าวเดอะการ์เดียนรายงานโดยอ้างข้อมูลจากเบน วอลเลซ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหราชอาณาจักรว่า กองทัพรัสเซียและกลุ่มนักรบรับจ้างแวกเนอร์ สามารถยึดพื้นที่ของเมืองโซเลียดาร์ได้เป็นบริเวณกว้างแล้ว
IMF เตือน 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยปีนี้
"รัสเซีย"อ้างสังหารทหารยูเครน 600 นาย แก้แค้นที่ถูกโจมตี
นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหมสหราชอาณาจักรระบุว่า การรบของกองทัพรัสเซียและกลุ่มแวกเนอร์มีความคืบหน้าในช่วง 4 วันที่ผ่านมา และมีความเป็นไปได้สูงที่รัสเซียจะปิดล้อมกองทัพยูเครนในเมืองบัคมุตจากทางตอนเหนือ และขัดขวางเส้นทางการสื่อสารของกองทัพยูเครน
อย่างไรก็ดี ข้อมูลของกระทรวงกลาโหมสหราชอาณาจักรระบุเพิ่มเติมว่า รัสเซียอาจยังไม่สามารถปิดล้อมเมืองโซเลียดาร์ทั้งหมดได้ในทันที เพราะกองกำลังยูเครนยังคงรักษาแนวป้องกันและคุมเส้นทางเสบียงเอาไว้ได้
จะเห็นได้ว่าในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา การสู้รบที่เมืองโซเลียดาร์ค่อนข้างดุเดือด เพราะกองทัพรัสเซียได้เปลี่ยนเป้าหมายการรบจากเมืองบัคมุตมาเป็นเมืองแห่งนี้แทน หลังจากรัสเซียไม่สามารถโจมตีและยึดเมืองบัคมุตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
เมืองโซเลียดาร์เป็นเมืองขนาดเล็กในแคว้นโดเนตสก์ มีพื้นที่ราว 14.08 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณพื้นที่เขตห้วยขวางของกรุงเทพฯเท่านั้น เมืองนี้อยู่ห่างจากเมือง บัคมุตออกไปเพียง 15 กิโลเมตรเท่านั้น
อีวาน อาร์เชนโก เจ้าหน้าที่ของกองทัพยูเครน ได้อธิบายกับสื่อถึงสาเหตุที่เมืองโซเลียดาร์กลายมาเป็นจุดปะทะที่สำคัญว่า รัสเซียต้องการชัยชนะหรือความคืบหน้าในสนามรบบางอย่าง เพื่อไปรายงานต่อประธานาธิบดีปูตินและสาธารณชน
โดยตอนแรกรัสเซียตั้งเป้าหมายว่าจะทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อยึดเมืองบัคมุต ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สุดให้ได้ก่อนช่วงปีใหม่ เพื่อเป็นของขวัญให้แก่สาธารณชน
อย่างไรก็ดี ทางฝั่งยูเครนสามารถต้านทานรัสเซียไว้ได้ ทำให้รัสเซียไม่พอใจและเสียหน้า เนื่องจากได้ทุ่มสรรพกำลังจำนวนมากไปที่เมืองบัคมุต ซึ่งเป็นเมืองที่มีขนาดเล็กมาก เทียบเท่ากับเขตบางเขนของกรุงเทพฯ แต่ก็ไม่สามารถยึดได้ทั้งหมดตามเป้าหมาย
นี่คือเหตุผลที่ทำให้รัสเซียต้องเปลี่ยนเป้าหมายมายึดเมืองโซเลียดาร์ ที่มีขนาดเล็กกว่ามากแทน เพื่อแสดงให้สาธารณชนเห็นถึงความคืบหน้าของการรบ และผู้บัญชาการไม่ถูกผู้นำรัสเซียลงโทษ
อย่างไรก็ดี ทางการยูเครนยังไม่ได้ออกมายืนยันข้อมูลของกระทรวงกลาโหมสหราชอาณาจักรว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
โดยข้อมูลล่าสุดที่มีมาจากโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ที่ระบุเมื่อวานนี้ว่า สถานการณ์สู้รบในแนวรบที่เมืองโซเลียดาร์ยังเป็นไปอย่างดุเดือด เนื่องจากกองทัพรัสเซียได้ทุ่มกำลังทั้งหมดมายังแนวรบบริเวณนี้
ขณะเดียวกันผู้นำยูเครนก็ได้กล่าวขอบคุณและชื่นชมทหารที่อยู่ในสมรภูมิบัคมุตและโซเลียดาร์ที่อดทนยืนหยัดตรึงกำลังไม่ให้กองทัพรัสเซียรุกคืบเข้ามาได้
นอกจากนี้ ผู้นำยูเครนยังระบุเพิ่มเติมว่า ทุกสิ่งในเมืองโซเลียดาร์ถูกทำลายเกือบทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ชีวิตของทหารรัสเซีย จนทำให้มีศพอยู่จำนวนมากทั้งในและรอบๆ พื้นที่ของเมืองโซเลียดาร์นอกจากเมืองโซเลียดาร์แล้ว อีกแนวรบหนึ่งที่ฝั่งรัสเซียและยูเครนปะทะกันอย่างหนักคือ เมืองซีเวิร์สก์ (ซีเวิส) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองโซเลียดาร์และบัคมุต
โดยทหารในแนวหน้าของเมืองนี้เปิดเผยว่า ตอนนี้ทางฝั่งยูเครนในพื้นที่นี้ยังคงได้เปรียบกองทัพรัสเซีย
เนื่องจากอุณหภูมิที่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็งและหิมะที่กำลังตกในตอนนี้ ช่วยทำให้สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของรัสเซียในแนวหน้าได้ จากการใช้โดรนถ่ายภาพตรวจจับความร้อน
ขณะเดียวกัน สภาพอากาศเช่นนี้ก็ทำให้รัสเซียไม่สามารถไม่สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของยูเครนได้และต้องพยายามซ่อนการเคลื่อนไหวในแนวหน้าเพื่อไม่ให้ยูเครนรู้ตำแหน่งและถูกโจมตี
ท่ามกลางสู้รบในภาคตะวันออกที่ยังคงดุเดือด แม้ว่ายูเครนจะได้เปรียบในบางพื้นที่ แต่นี่ไม่ใช่หลักประกันว่ายูเครนจะได้เปรียบฝั่งรัสเซียอย่างสมบูรณ์ในฤดูนาวนี้
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์จากชาติตะวันตกระบุว่า ยูเครนต้องการยุทโธปกรณ์ที่เป็นตัวเปลี่ยนเกม หรือ Game changer ที่สำคัญ คือ ยานยนต์หุ้มเกราะ
ยานยนต์หุ้มเกราะเป็นยานพาหนะที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ขนกำลังพลและอุปกรณ์ไปยังพื้นที่แนวรบ ซึ่งยานพาหนะนี้ได้รับฉายาหรือชื่อเล่นว่าเป็น"แบตเทิลแท็กซี่" (รถแท็กซี่ต่อสู้) หรือ "แบตเทิลบัส" (รถบัสต่อสู้)
อย่างไรก็ดี ยานยนต์ประเภทนี้ไม่ใช่อาวุธต่อสู้โดยตรงในสนามรบเหมือนกับรถถัง แม้ว่าจะติดอาวุธบางประเภทได้
โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทางสหรัฐฯ ได้ออกมาประกาศว่าจะส่ง ยานยนต์หุ้มเกราะรุ่น M2A2 Bradley (เอ็มทูเอทู แบรดลีย์) ซึ่งสามารถติดอาวุธขนาดกลาง เคลื่อนที่ด้วยตีนตะขาบ สามารถบรรทุกทหารได้ 3-6 นายต่อคัน
นอกจากนี้ รถหุ้มเกราะ M2A2 Bradley (เอ็มทูเอทู แบรดลีย์) ยังสามารถติดตั้งปืนกลขนาดลำกล้อง 25 มม.ได้บริเวณด้านบน และมีฐานยิงขีปนาวุธต่อต้านรถถัง ขณะที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูในพื้นที่โล่ง
นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯ ส่งยานยนต์หุ้มเกราะรุ่นดังกล่าวให้แก่ยูเครน และหลังจากการประการส่งยานยนต์หุ้มเกราะของสหรัฐฯ เพียงหนึ่งวัน รัฐบาลเยอรมนีได้ออกมาประกาศว่าจะส่งยานยนต์หุ้มเกราะรุ่นมาร์เดอร์ให้แก่ยูเครน
โดยมาร์เดอร์มีคุณลักษณะพื้นฐานที่ใกล้เคียงกับยานยนต์หุ้มเกราะของสหรัฐฯ ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการต่อสู้ขั้นสูงที่เรียกว่า กลยุทธ์การรบผสมเหล่า (combined arms maneuver fight) ที่ทุกกองทัพจะวางแผนร่วมกันสู้เพื่อกดดันศัตรูจากทุกทิศทางพร้อมกัน
ยานยนต์หุ้มเกราะที่ชาติพันธมิตรส่งไปช่วยเหลือยูเครนในครั้งนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพน้อยกว่าที่ยูเครนต้องการ เนื่องจากยูเครนต้องการรถหุ้มเกราะติดอาวุธที่มีขนาดใหญ่ ทรงพลัง และมีความซับซ้อน
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การส่งยานยนต์หุ้มเกราะของสหรัฐฯ และเยอรมนีในครั้งนี้ ถือเป็นการยกระดับความซับซ้อนและความร้ายแรงของอาวุธที่สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรจัดหาให้ยูเครน ซึ่งอาจทำให้รัสเซียไม่พอใจได้
เนื่องจากยานยนต์หุ้มเกราะเหล่านี้ เพิ่มความสามารถในเชิงกลยุทธ์ให้แก่ฝั่งยูเครนในการลำเลียงพลไปยังแนวหน้าของสนามรบ ท่ามกลางการเปลี่ยนฤดูกาลซึ่งสภาพภูมิประเทศในภูมิภาคดอนบาส ที่ส่วนใหญ่เป็นทุ่งนาและลานแบบเปิด จะเต็มไปด้วยโคลน ทำให้ยากต่อการเคลื่อนกำลังพล
ปัญหาดังกล่าวไม่ใช่ปัญหาใหม่ เพราะถ้าย้อนกลับไปในช่วงต้นของการรุกรานยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ปีที่แล้ว ทางฝั่งรัสเซียเองก็เคยประสบปัญหานี้จนเกิดเป็นภาพรถถังจำนวนมากติดหล่มโคลน และถูกทิ้งไว้ตามพื้นต่างๆ ของยูเครน
อย่างไรก็ดี การประกาศส่งยานยนต์หุ้มเกราะนี้ หลายฝ่ายชี้ว่าชาติตะวันตกกำลังเตรียมความพร้อมให้แก่ยูเครนเพื่อเปิดศึกกับรัสเซียเต็มกำลังหลังฤดูหนาวสิ้นสุดลง
โดยสหรัฐฯ คาดว่ายานยนต์หุ้มเกราะ จะเดินทางไปถึงยูเครนในอีก 2-3 เดือน หลังจากนี้ ซึ่งเพนตากอน ระบุว่าจะเริ่มฝึกฝนการใช้ยานยนต์หุ้มเกราะให้แก่ทหารยูเครนภายในเดือนนี้ และจะแล้วเสร็จในเดือนมีนาคมหรือเมษายน
ส่วนยานยนต์หุ้มเกราะของเยอรมนี ทางสเตฟเฟน เฮเบสสไตรท์ โฆษกรัฐบาลเยอรมนีระบุว่า มาร์เดอร์จะพร้อมส่งไปยังยูเครนภายเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ และการฝึกฝนทหารยูเครนอาจใช้เวลาประมาณ 8 สัปดาห์ หรือราว ๆ สองเดือน
ล่าสุดวันนี้ (10 ม.ค.) รัสเซียได้ออกมาส่งสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางของสงครามเช่นกัน โดยเซอร์เก ชอยกู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรัสเซียได้แถลงว่า รัสเซียจะเดินหน้าพัฒนาโครงการขีปนาวุธนิวเคลียร์ต่อไป เพื่อเป็นหลักประกันให้กับบูรณภาพทางดินแดนของรัสเซียในอนาคต