โดยเฉพาะหลังจากที่ชาติตะวันตกประกาศว่าจะส่งรถถังประสิทธิภาพสูงให้แก่ยูเครน เพื่อให้ยูเครนใช้รับมือกับรัสเซียหลังฤดูหนาวสิ้นสุดลง
อย่างไรก็ดี การส่งมอบรถถังอาจกลายเป็นปัญหา เมื่อรัฐมนตรีกลาโหมเยอรมนีประกาศลาออก ซึ่งเกิดขึ้นก่อนวันประชุมรัฐมนตรีกลาโหมชาติพันธมิตรยูเครนเพียง 4 วันเท่านั้น
ขณะที่ทางกองทัพรัสเซียก็เปิดฉากโจมตีทางอากาศทั่วยูเครนอย่างหนัก โดยเฉพาะที่เมืองดนีโปร เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของยูเครน
IMF เตือน 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยปีนี้
สหรัฐฯจับตารัสเซียตั้ง “เกราซีมอฟ” คุมศึกยูเครน
ภาพความเสียหายของอะพาร์ตเมนต์ ที่เป็นที่พักอาศัยของประชาชนในเมืองดนีโปร หลังถูกรัสเซียโจมตีทางอากาศเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าแรงระเบิดจากการโจมตีนั้นรุนแรงมาก ทำให้ตัวอาคารถูกแบ่งเป็นสองส่วนและพื้นที่ตรงกลางพังถล่มลงมา ท่ามกลางกองซากปรักหักพังและควันไฟ
บอริส ฟิลาตอฟ นายกเทศมนตรีเมืองดนีโปร ระบุเมื่อวานนี้ว่า โอกาสในการพบผู้รอดมีน้อยมาก โดยมีผู้สูญหายที่ยังไม่ทราบชะตากรรมอีกกว่า 40 ราย
อย่างไรก็ดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ออกมาระบุขณะรายงานสถานการณ์ประจำวันว่า ไม่ว่าประชาชนจะมีโอกาสรอดชีวิตมากหรือน้อย ทางการก็จะยังคงค้นหาผู้รอดชีวิตต่อไป
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่กู้ภัยในพื้นที่ยังคงเร่งทำงานแข่งกับเวลา เพื่อค้นหาทั้งผู้รอดชีวิตและผู้เสียชีวิตต่อเนื่องกันเป็นวันที่ 2 แล้ว
ทางเจ้าหน้าที่บอกว่า พวกเขาต้องค้นหาผู้รอดชีวิตต่อเนื่องกัน 19-20 ชั่วโมงโดยไม่ได้นอนหรือพัก แต่การช่วยเหลือก็ยังทำไม่ได้มากเท่าที่ควร เนื่องจากมีอุปสรรคจากโครงสร้างอาคารที่สูงและควันไฟที่บดบังการมองเห็น
ล่าสุดวันนี้ 16 ม.ค. ยูเครนรายงานว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เพิ่มขึ้นเป็น 35 รายแล้ว
ในขณะที่ตัวเลขผู้บาดเจ็บยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งหัวหน้าหน่วยทหารของแคว้นดนีโปรเปตรอฟสก์ระบุว่าสามารถช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บได้เพิ่มอีก 39 ราย ซึ่งในจำนวนนี้มี 14 รายเป็นเด็ก และอีก 35 รายคาดว่ายังคงติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง
โดยเด็กและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บบางส่วนได้ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลดนีโปร
ด้านรองหัวหน้าแผนกผู้ป่วยวิกฤตเล่าว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บมารักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ 18 ราย ในจำนวนนี้เป็นเด็กถึง 12 ราย ซึ่งมีหนึ่งรายได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ศีรษะ กระดูกสะโพกทั้งสองข้างแตก และหน้าแข้งได้รับบาดเจ็บจากเศษระเบิด
นอกจากอะพาร์ตเมนต์ในเมืองดนีโปร อีกพื้นที่ที่ถูกโจมตีคือ แคว้นเคอร์ซอนทางตอนใต้ของยูเครน
ยาโรสลาฟ ยานูเชวิช หัวหน้าหน่วยทหารในแคว้นเคอร์ซอนระบุว่า เมื่อวานนี้กองทัพรัสเซียได้โจมตีเมืองเคอร์ซอน ส่งผลให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บ 7 ราย และอาคารที่ทำการของหน่วยงานกาชาด ศูนย์ฟื้นฟูสำหรับเด็กที่มีความบกพร่อง ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของแคว้นเกิดเพลิงลุกไหม้ และได้รับความเสียหาย
การโจมตีที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ทำให้หลายฝ่ายออกมาประณามการกระทำของรัสเซียอย่างหนัก เนื่องจากเป็นการโจมตีพื้นที่พลเรือนและพื้นที่กาชาด ซึ่งละเมิดกฎหมายเกี่ยวกับการทำสงคราม
อย่างไรก็ดี อิกอร์ โคนาเชนคอฟ โฆษกกระทรวงกลาโหมรัสเซียออกมาแถลงเชิงปฏิเสธเรื่องการโจมตีสถานที่ของพลเรือน
โฆษกกลาโหมรัสเซียระบุในรายงานว่า การโจมตีเมื่อวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา เป็นการโจมตีเป้าหมายทางการทหารและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่เกี่ยวข้องกับกองทัพยูเครนเท่านั้น ซึ่งการโจมตีในครั้งนี้บรรลุเป้าหมายตามที่รัสเซียวางไว้
การโจมตีใหญ่ในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ชาติพันธมิตรตะวันตกประกาศส่งรถถังรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นให้แก่ยูเครน เพื่อใช้ในการต่อสู้หลังฤดูหนาวสิ้นสุดลงในอีก 1-2 เดือนหลังจากนี้
ตอนนี้มี 3 ชาติพันธมิตรตะวันตกที่ยืนยันแล้วว่าจะส่งมอบรถถังให้แก่ยูเครน และมีอีก 1 ชาติกำลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่
โดยชาติแรกคือ ฝรั่งเศส ที่ประกาศว่าจะส่งรถถังเบารุ่น AMX-10RC (เอเอ็มเอ็กซ์ เท็น อาร์ซี) ให้แก่ยูเครนเมื่อวันที่ 4 มกราคมที่ผ่านมา
ชาติที่สองคือ โปแลนด์ ที่ประกาศว่าจะส่งมอบรถถังหลักรุ่นเลพเพิร์ด2 จำนวน 14 คันให้แก่ยูเครน หลังจากที่ประธานาธิบดีอันด์แชย์ ดูดา เดินทางไปเยือนและหารือร่วมกับผู้นำยูเครนที่เมืองลวิฟ เมื่อวันพุธที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา
และชาติล่าสุดคือ สหราชอาณาจักร ที่ประกาศเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ว่าจะส่งรถถังหลักรุ่นชาเลนเจอร์ 2 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงมาก จำนวน 14 คัน พร้อมกับปืนใหญ่อีกจำนวนหนึ่งให้แก่ยูเครน
ส่วนชาติที่กำลังตัดสินใจเรื่องการส่งรถถังให้แก่ยูเครนคือ ฟินแลนด์ เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจาก เซาลี นินิสโต ประธานาธิบดีฟินแลนด์ที่ระบุว่า ฟินแลนด์กำลังพิจารณาเรื่องการส่งรถถังเลพเพิร์ด 2 ให้แก่ยูเครน
อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีฟินแลนด์ระบุว่า ฟินแลนด์อาจส่งเลพเพิร์ด 2 ได้ในจำนวนที่จำกัด เนื่องจากมีพรมแดนติดกับรัสเซียและยังไม่ได้เป็นสมาชิกนาโตเต็มตัว
โดยหลายฝ่ายคาดว่าการส่งรถถังเลพเพิร์ด 2 นี้อาจอยู่ในหนึ่งรายการความช่วยเหลือชุดที่ 12 ของฟินแลนด์ ซึ่งจะมีการประกาศในอีกไม่กี่สัปดาห์หลังจากนี้
การทยอยออกมาประกาศส่งรถถังไปให้ยูเครนในครั้งนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางความเห็นที่ต่างกันของชาติพันมิตรตะวันตก
เพราะบางประเทศเห็นว่าต้องพิจารณารายละเอียดต่างๆ อย่างรอบครอบ โดยเฉพาะกับเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศต้นกำเนิดและผู้ถือใบอนุญาตส่งมอบรถถังเลพเพิร์ด 2
นักวิเคราะห์หลายรายระบุว่า ท่าทีของโปแลนด์และสหราชอาณาจักรที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคือการส่งสัญญาณกดดันเยอรมนีให้รีบตัดสินใจส่งมอบรถถังให้แก่ยูเครน
อย่างไรก็ดี วันนี้ทางบริษัทผู้ผลิตอาวุธสัญชาติเยอรมนีได้ออกมาให้ความเห็นเรื่องการส่งรถถังเลพเพิร์ด 2 แล้ว
สำนักข่าวเดอะการ์เดียนส์รายงานว่า บริษัทไรฮ์น เมทัลล์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอาวุธรายใหญ่ของเยอรมนีได้ออกมาเตือนชาติพันธมิตรตะวันตกว่า รถถังที่อยู่ในคลังของเยอรมนีจะยังไม่พร้อมส่งมอบจนถึงปี 2024 หรือปีหน้า
อาร์มิน ปาปเปอร์เกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไรฮ์น เมทัลล์เปิดเผยว่า ทางบริษัทมีรถถังเลพเพิร์ด 2 อยู่ทั้งสิ้น 22 คัน และมีรถถังเลพเพิร์ด 1 อยู่อีก 88 คัน ในคลัง
อย่างไรก็ดี รถถังทั้งหมดไม่สามารถส่งไปยังยูเครนได้ในทันที เนื่องจากต้องตรวจเช็คสภาพและซ่อมแซมรถถังเหล่านั้นให้พร้อมใช้งานก่อน ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลานานหลายเดือน เพราะต้องถูกรื้อและประกอบใหม่ทั้งหมด
ตลอดจนราคาในการซ่อมแซมรถถังก็สูงมากถึงหลักร้อยล้านยูโร ทางบริษัทไม่สามารถทำได้ทันที จนกว่าคำสั่งซื้อจะได้รับการยืนยันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นี่หมายความว่าเยอรมนีอาจยังไม่สามารถส่งมอบรถถังเลพเพิร์ดที่มีให้แก่ยูเครนได้อย่างน้อยก็ในปีนี้ ทำให้ความหวังไปอยู่ที่โปแลนด์และฟินแลนด์ ที่มีรถถังพร้อมใช้งาน ซึ่งรอเพียงการอนุญาตส่งมอบจากรัฐบาลเยอรมนีเท่านั้น
หลายฝ่ายคาดว่าผลการพิจารณาเรื่องการส่งมอบน่าจะเกิดขึ้นในเร็วนี้ ๆ เนื่องจากวาระดังกล่าวอาจกลายเป็นวาระหลักในการประชุมที่ฐานทัพอากาศแรมสไตน์ ที่จะเกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์นี้
อย่างไรก็ดี การพิจารณาประเด็นดังกล่าวอาจเกิดอุปสรรคขึ้น หลังจากที่สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า คริสทีน ลัมเบรชท์ รัฐมนตรีกลาโหมเยอรมนีประกาศลาออกจากตำแหน่งเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา หลังจากดำรงตำแหน่งได้เพียงหนึ่งปีเท่านั้น
โดยสาเหตุของการลาออกในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการที่เธอถูกวิจารณ์เรื่องการโพสต์คลิปวิดีโอลงบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งเธอได้พูดถึงสงครามยูเครนว่า สงครามทำให้เธอพบคนที่น่าสนใจและยิดเยี่ยม ท่ามกลางฉากหลังที่เป็นพลุและดอกไม้ไฟ
นี่ทำให้หลายฝ่ายเกิดความไม่พอใจและเรียกร้องให้เธอลาออกจากตำแหน่ง เพราะมองว่าพฤติกรรมดังกล่าวไม่เหมาะสมและสะท้อนว่าเธอไม่เข้าใจสถานะรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของตนเอง
ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งคือ หลายฝ่ายไม่พอใจในการจัดการปัญหาในกระทรวง เช่น การลืมอนุมัติสั่งซื้อกระสุนสำหรับปืนของกองทัพเยอรมนี และปัญหาสงครามยูเครน ที่เธอตัดสินใจส่งมอบหมวกกันน็อคให้ยูเครนในช่วงต้นของสงคราม
นี่เป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่เราต้องติดตามกันต่อไป เนื่องจากเยอรมนีคือหนึ่งในผู้สนับสนุนที่สำคัญของยูเครนในสงครามและผู้ชี้ชะตาการส่งมอบรถถังเลพเพิร์ด 2 ที่จะเป็นวาระสำคัญในวันศุกร์นี้
อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่ต้องติดตามมาจากทางฝั่งรัสเซีย คือ การออกมาให้ความเห็นเรื่องการส่งรถถังของสหราชอาณาจักร และการส่งสัญญาณว่ารัสเซียพร้อมขยายกรอบอายุของการเกณฑ์ทหารเพื่อเพิ่มกำลังพล
วานนี้ ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกรัฐบาลรัสเซียได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการส่งรถถังชาเลนเจอร์ 2 ของสหราชอาณาจักรว่าไม่สามารถช่วยอะไรยูเครนได้และปฏิบัติการทางการทหารยังคงดำเนินต่อไป ตลอดจนอาวุธที่ถูกส่งมาจะถูกกองทัพรัสเซียทำลาย
นอกจากนี้ โฆษกรัฐบาลรัสเซียยังได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องการเพิ่มอายุของกำลังรัสเซียด้วย โดยระบุว่าประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย เห็นด้วยกับแนวคิดเรื่องการขยายกรอบอายุในการเกณฑ์ทหารของรัสเซีย แต่เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของกระทรวงกลาโหมที่ต้องไปจัดการ
การออกมายืนยันของโฆษกรัฐบาลรัสเซียมีขึ้นหลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า รัสเซียอาจเพิ่มเพดานอายุของพลเรือนที่จะต้องเป็นทหาร ซึ่งจะเพิ่มกำลังทหารได้ถึงร้อยละ 30 โดยคาดว่าจะทำได้เร็วสุดในเดือนมีนาคม-พฤษภาคมที่จะถึงนี้
ด้านอันเดร คาร์ตาโปลอฟ ประธานคณะกรรมการด้านกลาโหมของรัฐสภารัสเซียระบุว่า กระทรวงกลาโหมจะปรับอายุของผู้ที่ต้องเข้ามาเป็นทหารจาก 18-27 ปีมาเป็น 21-30 ปี
โดยการเพิ่มขีดจำกัดอายุสูงสุดสำหรับการเกณฑ์ทหารเป็น 30 ปีจะเกิดขึ้นในปีนี้ ส่วนการเพิ่มขีดจำกัดอายุต่ำสุดสำหรับเกณฑ์มาเป็น 21 ปี อาจต้องใช้เวลาเปลี่ยนผ่านประมาณ 1-3 ปี
การปรับเปลี่ยนอายุการทหารเกณฑ์ครั้งนี้ อาจทำให้รัสเซียสามารถเพิ่มกำลังพลทั้งหมดที่มีอยู่ 1.1 ล้านนายให้กลายเป็น 1.5 ล้านนาย ได้ตามเป้าหมาย