พลจัตวา แพทริค ไรเดอร์ โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่าการแต่งตั้งพลเอกวาเลรี เกราซีมอฟ ประธานคณะเสนาธิการทหารรัสเซีย ให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการของปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครนคนใหม่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาและความท้าทายที่กองทัพรัสเซียเผชิญอยู่
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการสั่งการและควบคุม การส่งกำลังบำรุง ขวัญกำลังใจของกำลังพล เรื่อยไปจนถึงความล้มเหลวในการบรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้
IMF เตือน 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยปีนี้
กลาโหมอังกฤษ เผยรัสเซียอาจยึดเมืองโซเลียดาร์ได้เกือบหมด
พลเอกวาเลรี เกราซีมอฟ ประธานคณะเสนาธิการทหารรัสเซียได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการคนใหม่ของปฏิบัติการพิเศษทางการทหารในยูเครนเมื่อวานนี้แทนที่พลเอกเซอร์เก ซูโรวิกิน ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งนี้ เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว
เกราซีมอฟ เป็นหนึ่งในนายทหารระดับสูงที่ได้รับความไว้วางใจอย่างมากจากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย โดยได้รับการแต่งตั้งจากปูตินให้เป็นประธานคณะเสนาธิการร่วมของ 3 เหล่าทัพ ทั้งกองทัพ กองทัพเรือ และกองทัพอากาศของรัสเซียเมื่อปี 2012
มีรายงานซึ่งยังไม่มีการยืนยันว่า เกราซีมอฟ เป็นหนึ่งในนายทหารระดับสูงที่ได้รับมอบหมายให้เป็น 1 ใน 3 ของคนที่เป็นผู้ถือกระเป๋ารหัสลับสำหรับปล่อยอาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย
การแต่งตั้งเกราซีมอฟ เข้ามาคุมปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครนในครั้งนี้ จะนำไปสู่ความเสี่ยงที่รัสเซียจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ในยูเครนหรือไม่ นอกเหนือจากการเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการรบแล้ว ล่าสุดรัสเซียเตรียมขยายกองทัพของตัวเองให้มีขนาดใหญ่ขึ้นด้วยการเพิ่มจำนวนกำลังพลที่เข้าประจำการให้มากกว่าเดิม
ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซียเปิดเผยว่า รัสเซียมีแผนจะปรับเปลี่ยนช่วงอายุของพลเมืองในการเกณฑ์ทหาร จากเดิม 18-27 ปี เป็นช่วงอายุ 21-30 ปี เพื่อเพิ่มจำนวนทหารประจำการในกองทัพให้เพิ่มสูงขึ้น และคาดว่าแผนการนี้จะสามารถดำเนินการได้อย่างเร็วที่สุดภายในช่วงฤดูใบไม้ผลิปีนี้
หากแผนนี้เป็นไปตามที่วางไว้ กองทัพรัสเซียจะมีกำลังทหารประจำการเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 30 เป็น 1.5 ล้านคน จากจำนวนกำลังพลปัจจุบันของกองทัพรัสเซียซึ่งมีอยู่ที่ราว 1.15 ล้านคน
การขยับตัวของรัสเซียทำให้ยูเครนต้องออกมาขอร้องให้พันธมิตรส่งยุทโธปกรณ์ที่มีความทันสมัยมากกว่าที่เป็นอยู่ให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะรถถังรุ่นใหม่ที่เชื่อว่าจะเป็นตัวเปลี่ยนเกมสงครามได้อย่างไรก็ตาม หลายชาติพันธมิตรลังเล เพราะเกรงว่าการทำเช่นนี้จะเป็นการยั่วยุรัสเซีย
แต่เมื่อวานนี้ ( 12 ม.ค.) ผู้นำโปแลนด์ประกาศมอบรถถังรุ่นลีโอพาร์ดทู (Leopard 2) จำนวน 14 คันไปให้ยูเครน ในการประกาศครั้งนี้ ผู้นำโปแลนด์ส่งสัญญาณความไม่พอใจไปยังเยอรมนีที่เป็นประเทศต้นกำเนิดรถถังดังกล่าว แต่กลับไม่รีบตัดสินใจเรื่องการส่งมอบรถถังรุ่นนี้ให้กับยูเครน แรงกดดันล่าสุดจากโปแลนด์ทำให้เยอรมนีต้องออกมาอธิบายจุดยืน
เมื่อคืนที่ผ่านมา คริสทีน ลัมเบรชท์ รัฐมนตรีกลาโหมของเยอรมนี พูดเรื่องนี้ระหว่างการเดินทางไปตรวจเยี่ยมที่ตั้งของหน่วยรบหุ้มเกราะของกองทัพเยอรมนีทางภาคตะวันออกของประเทศ โดยระบุว่า รัฐบาลเยอรมนียังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องการส่งรถถังไปให้กับยูเครนในขณะนี้ แต่ก็ไม่ปฏิเสธถึงความเป็นไปได้ในการส่งรถถังไปให้ในอนาคต โดยเหตุผลที่รัฐบาลเยอรมนียังไม่ส่งรถถังให้ยูเครนก็เพราะกำลังพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ
ที่ผ่านมาแม้สหภาพยุโรปจะประกาศจับมือช่วยเหลือยูเครนอย่างเต็มที่ แต่ในทางปฏิบัติ หลายประเทศมีนโยบายเรื่องของการช่วยเหลืออาวุธที่ไม่เหมือนกัน ในกรณีของเยอรมนี หลายครั้งมีความลังเลและล่าช้าในการตัดสินใจ ต่างจากบางประเทศ เช่น โปแลนด์ ที่ดูเหมือนที่จุดยืนที่ชัดเจนมากกว่า
กรณีของรถถัง ลีโอพาร์ด 2 เยอรมนีลังเลในการส่งให้ยูเครนเนื่องจากมองว่าจะเป็นการยั่วยุรัสเซีย ขณะที่บางประเทศมองว่ากองทัพยูเครนมีศักยภาพไม่เพียงพอในการใช้หรือซ่อมบำรุงรถถังประเภทนี้
ลีโอพาร์ด 2 เป็นรถถังต่อสู้หลักที่ถูกพัฒนาและผลิตโดยบริษัทของเยอรมนีตะวันตกในช่วงทศวรรษ 1970 และถูกนำมาประจำการครั้งแรกในปี 1979 ตัวรถถังสามารถติดอาวุธหลักและอาวุธรองได้
โดยตัวอาวุธหลักจะเป็นปืนรถถังเรียบรุ่นไรน์เมทาล 120 มม. จำนวนหนึ่งกระบอก สามารถยิงได้ 42 นัด ส่วนอาวุธรองจะเป็นปืนกลจำนวน 2 กระบอก ยิงได้ราว 4,750 นัด ซึ่งนี่ทำให้ลีโอพาร์ด 2 กลายเป็นรถถังที่มีประสิทธิภาพรุ่นหนึ่งของโลก
ปัจจุบันมีเพียง 13 ประเทศในยุโรปที่ใช้รถถังรุ่นนี้คือ ออสเตรีย เดนมาร์ก ฟินแลนด์ เยอรมนี กรีซ ฮังการี นอร์เวย์ โปแลนด์ โปรตุเกส สเปน สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ และตุรกี ซึ่งทั้งหมดมีประมาณ 2,000 คัน
โดยในจำนวน 2,000 คันนี้ มีสภาพความพร้อมใช้งานที่ต่างกัน บางคันอยู่ในสภาพที่ดีมาก ในขณะที่บางคันต้องยกเครื่องใหม่ทั้งหมด นักวิชาการให้ความเห็นว่ายิ่งประเทศต่างๆ บริจาครถถังลีโอพาร์ด 2 มากเท่าใด ก็ยิ่งช่วยลดราคาที่ต้องจ่ายเพื่อช่วยเหลือยูเครนมากขึ้นเท่านั้น
เนื่องจากทุกประเทศสามารถบริจาครถถังที่พร้อมใช้งานทันที ไม่ต้องเสียค่าซ่อมแซมเพิ่มเติม เมื่อหลายประเทศบริจาครวมกันก็จะได้จำนวนที่เพียงพอต่อความต้องการของยูเครน โดยไม่ต้องมีประเทศใดประเทศหนึ่งส่งมอบเพียงประเทศเดียวและต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในการซ้อมเพิ่มเติม
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การส่งรถถังลีโอพาร์ดไปให้ยูเครนครั้งนี้จะสามารถช่วยยูเครนได้ เนื่องจากตลอด 11 เดือนของสงคราม ยูเครนก็เสียรถถังไปจำนวนไม่น้อย ขณะเดียวกันรถถังบางส่วนที่เหลืออยู่ก็ได้รับความเสียหายจนไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และไม่สามารถหาอะไหล่มาทดแทนได้ เนื่องจากบริษัทที่เคยดูแลปิดตัวหรือเปลี่ยนสายพานการผลิตไปแล้ว ดังนั้น การส่งรถถังลีโอพาร์ด 2 ของชาติตะวันตกไปให้ จะทำให้ยูเครนรบและยึดพื้นที่คืนได้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพและข้อได้เปรียบในการรบให้กับฝั่งยูเครนแบบทันท่วงที
โดยผู้เชี่ยวชาญมองว่ารถถังรุ่นนี้ไม่ได้มีความซับซ้อนในการใช้งานมากเท่ากับรุ่นอื่น ๆ ของนาโต แม้อาจจะต้องมีการปรับปรุงระบบการใช้งานบางอย่าง เพื่อให้รองรับการใช้งานของฝั่งยูเครนบ้าง แต่ทหารยูเครนน่าจะสามารถใช้เวลาทำความคุ้นเคยได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับสถานการณ์การสู้รบ หนักๆยังอยู่ที่เมืองโซเลียดาร์และบักมุตในแคว้นโดเนตสก์ แม้จะมีการต่อสู้กันอย่างหนักในสองเมือง แต่ตอนนี้หลายฝ่ายให้ความสนใจไปยังเมืองโซเลียดาร์ เมืองโซเลียดาร์มีพื้นที่ราว 14.08 ตารางกิโลเมตร
ทำไม่ที่นี่จึงมีความหมายกับรัสเซียเพราะที่นี่มีเหมืองเกลือขนาดใหญ่ ภายในมีเครือข่ายอุโมงค์ใต้ดินที่ลึกถึง 100 เมตร และยาวมากกว่า 200 กิโลเมตร อุโมงค์แห่งนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้รัสเซียได้ใช้เป็นฐานหรือเส้นทางเชื่อมต่อเพื่อรุกไปเมืองที่สำคัญกว่าอย่างบักมุตได้ ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งสองฝั่งพยายามทำสงครามข่าวสารและจิตวิทยาว่าสามารถยึดเมืองโซเลียดาร์ได้แล้ว โดยเมื่อวานนี้ ฝั่งรัสเซียที่นำโดยกลุ่มนักรบแวกเนอร์ได้เผยภาพถ่ายของตนเองขณะอยู่ที่เหมืองเกลือแห่งหนึ่งในเมืองก่อนจะระบุว่าสามารถยึดเมืองนี้ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
อย่างไรก็ดี ทางฝั่งยูเครนยืนยันและปล่อยวิดีโอที่เป็นหลักฐานว่าทหารยูเครนยังคงตรึงกำลังในพื้นที่ได้ และขณะนี้การสู้รบยังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด