เมื่อวันพุธ (1 ก.พ.) ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาของเกาหลีเหนือ ที่ระบุว่าการซ้อมรบร่วมของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกเป็นการยั่วยุ โดยสหรัฐฯ ไม่มีเจตนาเป็นปฏิปักษ์ต่อเกาหลีเหนือ หลังสหรัฐฯ ประกาศว่าจะซ้อมรบร่วมกับเกาหลีใต้เดือนนี้ และซ้อมรบในแผน Key Resolve/Foal Eagle ซึ่งเป็นการซ้อมรบร่วมระหว่างกองทัพสหรัฐฯ และกองทัพเกาหลีใต้ อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
"ไบเดน" ปฏิเสธหารือซ้อมรบนิวเคลียร์กับเกาหลีใต้
คิม จอง อึน ทดสอบขีปนาวุธใหม่ พร้อมพัฒนาคลังแสงนิวเคลียร์ใหญ่ขึ้น
ก่อนหน้านี้ ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ และลี จอง-ซอป รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ เห็นพ้องกันในการเจรจาเรื่องแผนซ้อมรบ ที่กรุงโซลเมื่อวันอังคาร (31 ม.ค.) ที่ผ่านมาว่า ควรยกระดับและสนับสนุนการซ้อมรบร่วมในปีนี้ พร้อมกล่าวอีกว่าจะขยายความร่วมมือไปยังญี่ปุ่น เพื่อขอข้อมูลและสังเกตการณ์พฤติกรรมของเกาหลีเหนือ หลังมีการทดสอบขีปนาวุธบ่อยครั้งเมื่อปีที่แล้ว
ออสติน กล่าวว่า “ความมุ่งมั่นของเราในการปกป้องเกาหลีใต้ยังคงแข็งแกร่ง สหรัฐฯ ยืนหยัดอย่างมั่นคงในความมุ่งมั่นที่จะยับยั้งการแพร่ขยายของนิวเคลียร์ รวมถึงขีดความสามารถด้านการป้องกันของสหรัฐฯ อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งรวมถึงความสามารถในการป้องกันการรุกรานรูปแบบต่าง ๆ การโจมตีด้วยนิวเคลียร์ และขีปนาวุธ”
ด้านเกาหลีเหนือไม่พอใจอย่างมากหลังทราบการประกาศซ้อมรบครั้งนี้ ทำให้กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือกล่าวว่า เป็นการคุกคามและต้องการทดสอบอาวุธของเกาหลีเหนือ พร้อมระบุว่าการซ้อมรบที่นำโดยสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร เป็นการผลักดันสถานการณ์ไปสู่ “การเฉียดเส้นตายขั้นรุนแรง” และขู่ว่าจะเปลี่ยนคาบสมุทรเกาหลีให้กลายเป็น “ศูนย์รวมคลังแสงสงครามขนาดใหญ่และเขตสงครามที่เข้าขั้นวิกฤติอย่างรุนแรง” หลังเป็นเวลากว่าทศวรรษที่เกาหลีเหนือประณามการซ้อมรบร่วมบริเวณคาบสมุทรเกาหลีว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการรุกรานและสงคราม
ทำให้เมื่อวันพุธที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยเอเดรียนน์ วัตสัน โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุว่า “เราขอชี้แจงอย่างชัดเจนว่าเราไม่มีเจตนาเป็นศัตรูต่อเกาหลีเหนือ และพร้อมเจรจาทางการทูตอย่างจริงจังและยั่งยืน เพื่อจัดการกับประเด็นที่เป็นข้อกังวลอย่างเต็มรูปแบบของทั้งสองประเทศและภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เราเต็มใจที่จะพบปะกับผู้แทนของเกาหลีเหนือในเวลาและสถานที่ที่พวกคุณสะดวก”
วัตสัน เสริมว่า “เราขอปฏิเสธความคิดที่ว่าการซ้อมรบร่วมครั้งนี้เป็นการยั่วยุ เพราะการซ้อมรบในภูมิภาคนี้ร่วมกับพันธมิตรเราถือเป็นเรื่องปกติที่เคยทำมาตั้งแต่อดีต สหรัฐฯ ซ้อมรบกับชาติพันธมิตรอย่างใกล้ชิด เพื่อรับประกันสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค ในขณะเดียวกัน เราจะยังคงปฏิบัติตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอย่างเต็มที่ ซึ่งสะท้อนถึงเจตจำนงของนานาชาติ พร้อมจำกัดและควบคุมเกาหลีเหนือ ในโครงการพัฒนาอาวุธที่ผิดกฎหมายและสอดส่องพฤติกรรมที่คุกคามเสถียรภาพในภูมิภาค”
แม้จะมีการปฏิเสธจากทางสหรัฐฯ แต่เกาหลีเหนือยังแสดงท่าทีว่าไม่สนใจการเจรจาตราบใดที่สหรัฐฯ ยังดำเนินนโยบายที่มองว่าตนเป็นศัตรู
โดยเมื่อเดือนพฤษภาคมปีก่อน ยุน ซุก ยอล เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ พร้อมนำทหารซ้อมรบร่วมกับสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร แต่มีคำสั่งให้ลดกำลังพลและร่นระยะเวลาซ้อม จากนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ต้องการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์กับ คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนืออย่างสันติขณะดำรงตำแหน่ง
อย่างไรก็ตาม การเจรจา 3 ครั้งของทรัมป์เมื่อปี 2018 ก็ไม่มีทีท่าว่าจะสามารถหยุดโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนืออย่างเป็นรูปธรรมนัก และจากที่เห็นในปัจจุบัน เกาหลีเหนือมีแต่จะทวีความแข็งแกร่งและรุนแรงขึ้น ทำให้การเจรจาทางการทูตเป็นไปได้ยาก
ที่มา: reuters และ bloomberg
ภาพ:AFP