ศูนย์วิจัยด้านมนุษยธรรมแห่งเยล (Yale Humanitarian Research Lab) ในสหรัฐฯ รายงานว่า นับตั้งแต่สงครามรัสเซีย-ยูเครนเริ่มขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว มีเด็กชาวยูเครนอย่างน้อย 6,000 ราย อายุน้อยที่สุดคือ 4 เดือน ถูกทหารรัสเซียนำตัวไปยัง “ค่าย” 43 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงในแถบไครเมียและไซบีเรีย เพื่อเข้าโครงการ “การศึกษาใหม่” ของรัสเซีย
แผ่นดินไหวตุรกี-ซีเรีย ยอดเสียชีวิตพุ่ง 41,000 คน ผู้นำตุรกี เผย รุนแรงไม่ต่างระเบิดนิวเคลียร์
ทำเนียบขาวเผย วัตถุปริศนาที่พบ อาจเป็นบอลลูนธรรมดา “ไม่มีพิษภัย”
รัสเซียทำสงครามซ้อนสงคราม เตรียมยึดบัคมุตก่อนครบ 1 ปี
ค่ายดังกล่าวเป็นมีวัตถุประสงค์เพื่อ “ให้การศึกษาเกี่ยวกับการทหารและปลูกฝังอุดมการณ์ความรักชาติต่อประเทศรัสเซีย” ให้แก่เด็กยูเครน โดยจะดำเนินเป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนนับตั้งแต่ถูกนำตัวมา
รายงานของศูนย์วิจัยยังระบุด้วยว่า ทางการรัสเซียได้เร่งให้มีการรับอุปการะเลี้ยงดูเด็กยูเครนโดยไม่จำเป็นหลายราย ซึ่งอาจถือเป็นการก่ออาชญากรรมสงครามได้ เพราะถือว่าเด็กเหล่านั้นเป็นเชลยศึกจากสงครามอันโหดร้ายครั้งนี้
เด็ก ๆ ที่ถูกนำตัวไปเข้าค่าย “การศึกษาใหม่” ดังกล่าว ตามปกติแล้วจะมีกำหนดวันที่ให้ออกจากค่ายชัดเจน แต่เด็กบางรายก็กลับออกมาล่าช้ากว่ากำหนดหลายสัปดาห์ บ้างก็ล่วงเลยไปหลายเดือน หรือในบางกกรณีค่ายก็ไม่มีกำหนดปล่อยตัวเลย
ทางการรัสเซียจะพยายามส่งต่อมุมมองใหม่ให้เด็ก ๆ ผ่านหลักสูตรของ “โรงเรียน” ตลอดจนการพาไปทัศนศึกษา ณ สถานที่ที่เกี่ยวข้องกับสงครามและประวัติศาสตร์อันน่าภาคภูมิใจของรัสเซีย พร้อมพูดคุยกับทหารผ่านศึกชาวรัสเซียเพื่อปลูกฝังอุดมการณ์รักชาติและแลกเปลี่ยนประสบการณ์
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “มีหลักฐานถูกเปิดโปงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เกี่ยวกับการกระทำของรัสเซียที่ต้องการจะโค่นล้มและลบเลือนอัตลักษณ์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของยูเครน ซึ่งผลกระทบจากการกระทำดังกล่าวนั้นร้ายแรง และจะถูกส่งต่อไปยังลูกหลานยูเครนชั่วลูกชั่วหลานเลยทีเดียว”
เน็ด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับรายงานดังกล่าวว่าเป็นรายงานที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับพฤติกรรมของรัฐบาลรัสเซีย ในการพยายามทำให้เด็ก ๆ เหล่านั้นย้ายไปอยู่ฝั่งรัสเซียอย่าง ถาวร
เขากล่าวว่า “มีอยู่หลายครั้งที่ฝั่งรัสเซียอ้างว่าจะอพยพเหล่าเด็ก ๆ เป็นการชั่วคราวจากความสูญเสียในยูเครน ภายใต้การใช้ชื่อว่า ‘ค่ายฤดูร้อน’ แต่ภายหลังก็ปฏิเสธที่จะส่งคืนเด็ก ๆ เหล่านั้นและตัดการติดต่อกับครอบครัวของพวกเขาทั้งหมด”
ด้วยเหตุนี้ รายงานดังกล่าวจึงมีการเรียกร้องให้องค์กรที่เป็นกลางได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงค่าย “การศึกษาใหม่” เพื่อตรวจสอบ และเรียกร้องให้รัสเซียยุติการรับเด็กยูเครนเข้าค่ายดังกล่าวโดยทันที พร้อมระบุว่า เหล่าผู้ช่วยของ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย มีส่วนร่วมในเรื่องนี้เช่นกัน โดยเฉพาะ มาเรีย ลิวา-เบโลวา กรรมาธิการด้านสิทธิเด็กของรัสเซียภายใต้การกำกับของปูติน ที่อ้างว่ามีครอบครัวชาวรัสเซียรับเลี้ยงเด็กยูเครนกว่า 350 คน และเด็กอีกกว่า 1,000 คนกำลังรอการรับเลี้ยง
ด้านสถานเอกอักคราชทูตรัสเซียประจำสหรัฐฯ ก็ออกมาตอบโต้รายงานดังกล่าว โดยบอกว่า “รัสเซียรับดูแลเด็กที่ถูกครอบครัวบังคับให้หลบหนีไป หรือถูกครอบครัวทิ้งเพื่อหลีกหนีจากความรุนแรงของสงคราม เราพยายามอย่างดีที่สุดในการดูแลรักษาผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะให้รู้สึกถึงความอบอุ่นประดุจอยู่ในครอบครัว และในกรณีที่ยังไม่มีผู้รับเลี้ยงก็จะโอนไปยังสถานเด็กกำพร้าเพื่อให้อยู่ในความอุปการะต่อไป เด็ก ๆ ถูกส่งมายังค่ายโดยได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองตามระยะเวลาที่ตกลงไว้ และส่งเด็ก ๆ คืนให้ผู้ปกครองตามกำหนดเดิม”
ทั้งนี้ จากการรวบรวมหลักฐานทั้งทางภาพถ่ายดาวเทียมและบัญชีสาธารณะอื่น ๆ ทางการสหรัฐฯ คาดว่ามีเด็กที่เข้าร่วมค่ายดังกล่าวมากกว่า 6,000 รายจากจำนวนที่รายงาน และอาจมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างมีนัยสำคัญ โดยนักวิจัยของทาง Yale Humanitarian Research Lab สำรวจข้อมูลจากการสอบถามพูดคุยกับผู้ปกครองที่ได้รับลูกของพวกเขากลับมาจากค่าย
นักวิจัยเผยผลการสอบถามพูดคุยกับผู้ปกครองเหล่านั้นว่า มีแม่ของเด็กรายหนึ่งโทรหาผู้อำนวยการค่ายเพื่อต้องการให้ลูกของเธอกลับมา แต่ทางผู้อำนวยการค่ายกลับกล่าวว่า มีสงครามเกิดขึ้นที่ค่ายดังกล่าวอยู่ พร้อมเผยว่ามีข้ออ้างอีกหลายกรณีที่ทำให้ลูก ๆ กลับมายังอ้อมอกของพ่อแม่ล่าช้าเช่น เจ้าหน้าที่ของค่ายที่เมดเวโซนอค บอกกับเด็กชายคนหนึ่งว่าจะถูกส่งตัวกลับก็ต่อเมื่อรัสเซียสามารถยึดเมืองอิเซียมคืนได้ หรือเด็กชายอีกคนหนึ่งที่ได้รับแจ้งว่าเขาจะไม่ถูกส่งตัวกลับบ้านเนื่องจาก “มีมุมมองที่สนับสนุนยูเครน”
ทางการสหรัฐฯ ยังรายงานอีกว่า ผู้ปกครองบางรายได้รับแจ้งว่าจะปล่อยตัวลูก ๆ ของพวกเขาต่อเมื่อเดินทางมารับด้วยตัวเองที่ค่ายเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ญาติหรือผู้รับมอบอำนาจมารับตัวไป ซึ่งการเดินทางจากยูเครนไปรัสเซียถือว่าลำบากและมีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งยังระบุว่าผู้ชายที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 60 ปี จะถูกห้ามไม่ให้เดินทางออกนอกประเทศ จึงมีเพียงแม่ของเด็กเท่านั้นที่จะสามารถเดินทางไปรับได้
รายงานระบุว่า “ครอบครัวเด็กที่ถูกส่งไปยังค่ายต่าง ๆ ในรัสเซีย ส่วนใหญ่มีรายได้น้อยและไม่มีเงินมากพอที่จะเดินทางไปรับลูกโดยตรงได้ บางครอบครัวถึงกับถูกบังคับให้ขายข้าวของและเดินทางผ่านถึง 4 ประเทศเพื่อกลับไปเจอหน้าหรือรับลูกกลับมา อีกทั้งยังมีค่ายแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในแคว้นมากาดาน ห่างจากยูเครนถึง 6,230 กิโลเมตรเลยทีเดียว”
นาธาเนียล เรย์มอนด์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเยล กล่าวถึงกรณีนี้ว่า “รัสเซียฝ่าฝืนอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4 ที่ว่าด้วยการปฏิบัติต่อพลเรือนระหว่างสงครามอย่างชัดเจน ซึ่งในบางกรณีอาจถือว่าเป็นอาชญากรรมสงครามหรืออาจเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ”
เรียบเรียงจาก CNN / The Guardian
ภาพจาก AFP