หากใครติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือกับตะวันตกมาโดยตลอดคงจะคุ้นเคยดีกับ “ขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM)” อาวุธต้องห้ามในการสากลที่โสมแดงเดินหน้าพัฒนามาโดยตลอด และมีการทดสอบปรากฏให้เห็นตามหน้าข่าวหลายครั้ง
ที่ผ่านมา เกาหลีเหนืออ้างว่า ขีปนาวุธข้ามทวีปที่พวกเขาทดสอบนั้น มีพิสัยการยิงที่ไกลถึงขนาดสามารถยิงใส่สหรัฐฯ ที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งได้เลยทีเดียว ตัวอย่างเช่น ขีปนาวุธฮวาซอง-15 (Hwasong-15) ที่มีระยะยิงถึง 8,500-13,000 กม.
ทั้งนี้ ขีปนาวุธที่มีระยะยิงมากกว่า 10,000 กม. เป็นต้นไป สามารถเล็งเป้าจากเกาหลีเหนือไปยังนิวยอร์กหรือวอชิงตันดีซีของสหรัฐฯ ได้สบาย ๆ แต่ด้วยความที่ยังไม่เคยมีสถานการณ์ที่รุนแรงถึงขั้นนั้น ให้ไม่มีใครสามารถยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า คำกล่าวอ้างประสิทธิภาพขีปนาวุธข้ามทวีปของเกาหลีเหนือเป็นเรื่องจริงหรือไม่
ล่าสุด ทีมนักวิทยาศาสตร์ด้านกลาโหมจากสถาบันวิศวกรรมระบบอิเล็กทรอนิกส์ปักกิ่ง ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยชั้นนำในอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศด้านการบินและอวกาศของจีน ได้ทำการทดลองจำลองการโจมตีสหรัฐฯ ด้วยขีปนาวุธข้ามทวีปเกาหลีเหนือ โดยใช้ฮวาซอง-15 เป็นกรณีศึกษาหลัก
พวกเขาพบว่า ขีปนาวุธเกาหลีเหนือสามารถโจมตีใจกลางสหรัฐฯ ได้ภายในเวลา 1,997 วินาที หรือประมาณ 33 นาทีเท่านั้น หากระบบป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐฯ ไม่สามารถสกัดกั้นไว้ได้
ทีมวิจัยซึ่งนำโดย ถัง อวี่เหยียน กล่าวว่า ขีปนาวุธฮวาซอง-15 นี้เป็นขีปนาวุธ 2 ระยะที่สามารถยิงด้วยนิวเคลียร์ มีพิสัยทำการ 13,000 กม. “เพียงพอที่จะโจมตีเมืองของสหรัฐฯ ทั้งหมด”
การศึกษานี้จำลองการโจมตีจากเมืองซุนชอน จังหวัดพย็องอันใต้ ทางตอนกลางของเกาหลีเหนือ เป้าหมายคือเมืองโคลัมเบียในรัฐมิสซูรี ทางตอนกลางของสหรัฐฯ
ผลการศึกษาระบุว่า หลังขีปนาวุธถูกยิง กองบัญชาการป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐฯ จะได้รับการแจ้งเตือนในอีกประมาณ 20 วินาทีต่อมา จากนั้นสหรัฐฯ จะยิงขีปนาวุธสกัดกั้นชุดแรกภายใน 11 นาทีจากป้อมกรีลีในอะแลสกา หากล้มเหลว การโจมตีสกัดกั้นอีกระลอกหนึ่งจะถูกปล่อยออกจากฐานทัพแวนเดนเบิร์กในแคลิฟอร์เนีย
ถัง อวี่เหยียน บอกว่า การจำลองชี้ให้เห็นว่า ระบบป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐฯ ที่มีอยู่ แม้จะมีความแข็งแกร่งที่น่าประทับใจ แต่ก็มีช่องว่างในระบบ “ห่วงโซ่สังหาร” ในการระบุและป้องกันการโจมตี ทำให้อาจถูกฉวยโอกาสได้
ทีมวิจัยกล่าวว่า จุดประสงค์หลักของการศึกษานี้คือเพื่อประเมินว่า ระบบป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐฯ สามารถปกป้องตัวเองได้ดีเพียงใด
พวกเขาประเมินว่า ระบบสกัดขีปนาวุธของสหรัฐฯ นั้นสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพกับขีปนาวุธแบบดั้งเดิม เช่น ฮวาซอง-15 เนื่องจากมีระดับความซ้ำซ้อนของอาวุธหลายประเภท ทำให้กองทัพสหรัฐฯ มีความยืดหยุ่นมากในการตอบสนองต่อภัยคุกคามต่าง ๆ
“ตัวอย่างเช่น กองบัญชาการหน่วยเหนือและป้อมกรีลี มีการติดตั้งระบบควบคุมการยิงต่อต้านขีปนาวุธซึ่งทำหน้าที่สำรองซึ่งกันและกัน ... ระบบการตรวจจับเพื่อเตือนภัยล่วงหน้าที่สำคัญบางแห่งมีระยะครอบคลุม 2 เท่าหรือ 4 เท่า และสามารถเลือกอาวุธป้องกันได้หลายประเภทสำหรับการสกัดกั้นครั้งเดียว” ถัง อวี่เหยียนกล่าว แต่เสริมว่า อย่างไรก็ดี ระบบเหล่านี้ยังไม่สมบูรณ์แบบ
จากการสร้างแบบจำลองของทีมวิจัยพบว่า ระบบสอดแนมของสหรัฐฯ ที่มีอยู่ทั้งในอวกาศ มหาสมุทร และบนพื้นดิน บางครั้งอาจสูญเสียการติดตามขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ โดยจากการคำนวณพบว่า หากเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธจำนวนหนึ่งซึ่งมีหัวรบหรือตัวล่อมากกว่า 40 ลูก ระบบป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐฯ จะเกิดภาระ และอาจผลิดพลาดในการตรวจจับได้
ทีมวิจัยยังจำลองการโจมตีด้วยขีปนาวุธของเกาหลีเหนือไปยังเกาะกวม ซึ่งมีฐานทัพสหรัฐฯ ที่ใหญ่ที่สุดในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก พบว่า แม้สหรัฐฯ จะสามารถยิงขีปนาวุธสกัดกั้น 4 ระลอกจากฐานทัพทหารในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ได้ แต่ขีปนาวุธสกัดกั้นบางลูกอาจล้มเหลวหากขีปนาวุธของเกาหลีเหนือใช้วิถีโคจรที่ระดับความสูงที่สูงผิดปกติ
“เนื่องจากเกาหลีเหนือกำลังพัฒนาขีปนาวุธร่อนความเร็วเหนือเสียงที่สามารถเปลี่ยนเส้นทางในชั้นบรรยากาศได้ สหรัฐฯ ในขณะนี้ยังไม่มีความสามารถในการจัดการกับเป้าหมายดังกล่าวในระดับความสูงที่ใกล้จะออกไปอวกาศ” ทีมวิจัยกล่าว
แต่พวกเขาประเมินว่า ความสามารถในการป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐฯ สามารถยกระดับได้อย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
เรียบเรียงจาก SCMP
ภาพจาก AFP