คาดกันว่าผู้นำเกาหลีใต้และผู้นำญี่ปุ่นจะใช้เวทีประชุมสุดยอด หารือประเด็นการบังคับใช้แรงงานชาวเกาหลีในช่วงสงครามของญี่ปุ่น รวมถึงภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือและจีน
สื่อหลายสำนักระบุว่า ทั้งสองฝ่ายอาจรื้อฟื้นการทูตแบบที่มีการเยือนระหว่างกัน หรือที่เรียกว่า ชัตเทิล ดิโพลเมซี (shuttle diplomacy) ด้วย โดยนายกรัฐมนตรีฟูมิโอ คิชิดะ ของญี่ปุ่น อาจเชิญนายยุน ซอกยอล ร่วมการประชุม จี7 ที่เมืองฮิโรชิม่า ในเดือนพฤษภาคม และอาจเดินทางเยือนกรุงโซล หลังจากนั้น
การประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำเกาหลีใต้และผู้นำญี่ปุ่นถือเป็นก้าวสำคัญที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่ระหองระแหงจากกรณีพิพาทและความไม่เชื่อใจกันมายาวนานหลายสิบปี
เกาหลีใต้และญี่ปุ่นแค้นเคืองกันมาตั้งแต่สมัยที่ญี่ปุ่นยึดคาบสมุทรเกาหลีในช่วงสงครามโลก แม้ทั้งสองประเทศจะตกลงปรับความสัมพันธ์สู่ระดับปกติเมื่อปี 1965 แต่ก็มีกรณีพิพาทที่ยังค้างคาและเป็นปัญหาอยู่ โดยเฉพาะกรณีบังคับใช้แรงงาน และหญิงบำเรอกามสมัยสงคราม
ความไม่ลงรอยกันนี้ส่งผลเสียต่อความพยายามของสหรัฐอเมริกาที่จะสร้างความสามัคคีกันในสองชาติพันธมิตรที่สำคัญที่สุดในภูมิภาค
แต่ตอนนี้ทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่นดูเหมือนว่าจะพร้อมแล้ว ที่จะก้าวสู่บทใหม่ของความสัมพันธ์ เนื่องจากความกังวลด้านความมั่นคงที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการทดสอบขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ การแสดงอำนาจทางทหารที่แข็งกร้าวมากขึ้นของจีน และความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวัน
ก่อนออกเดินทางมากรุงโตเกียว ประธานาธิบดียุน ซอกยอล ได้บอกกับสื่อต่างชาติว่า เกาหลีใต้และญี่ปุ่นมีความจำเป็นมากขึ้นที่จะต้องร่วมมือกัน ในช่วงเวลาที่มีวิกฤติที่หลากหลายเช่นนี้ รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับระบบซัพพลายเชนทั่วโลก
ทั้งนี้ ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ผู้นำเกาหลีใต้จะเดินทางถึงญี่ปุ่น เกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธข้ามทวีปตกลงไปในน่านน้ำเขตเศรษฐกิจจำเพาะของญี่ปุ่น ซึ่งนับเป็นการยิงขีปนาวุธครั้งที่ 3 ในสัปดาห์นี้ และเป็นการยิงขีปนาวุธข้ามทวีป ครั้งที่ 4 ในเวลาไม่ถึงปี
โดยนายฮิโรคาซุ มัตสึโนะ หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้ประณามการยิงขีปนาวุธครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือว่า เป็นการกระทำไม่ยั้งคิดที่คุกคามสันติภาพและความมั่นคงของญี่ปุ่น ภูมิภาค และประชาคมโลก
ภาพจาก AFP