การทดสอบขีปนาวุธครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นขีปนาวุธพิสัยใกล้ที่ติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์จำลองไว้ด้วย โดยเกาหลีเหนือระบุว่าเป็นการยกระดับการป้องปรามสงครามนิวเคลียร์
วันนี้ KCNA สื่อทางการของเกาหลีเหนือรายงานว่า ‘คิม จองอึน’ ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ เรียกร้องให้ประเทศเตรียมความพร้อมในการโจมตีด้วยนิวเคลียร์ทุกเมื่อ เพื่อยับยั้งสงคราม
โดยกล่าวหาว่าเป็นเพราะสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ได้ขยายขอบเขตการซ้อมรบร่วมทางการทหาร ครอบคลุมถึงสินทรัพย์นิวเคลียร์ของสหรัฐฯ
เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธพิสัยไกล ตกทะเลญี่ปุ่น
เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธ ขู่สหรัฐฯ-เกาหลีใต้ก่อนซ้อมรบ
คำกล่าวของผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือนี้ มีขึ้นหลังจากเกาหลีเหนือจัดการฝึกซ้อมรบทางทหาร เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อยกระดับการป้องปรามสงครามและขีดความสามารถในการโจมตีตอบโต้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อส่งคำเตือนไปยังสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ที่กำลังซ้อมรบร่วมกันภายใต้ปฏิบัติการ ‘Freedom Shield 23’
โดยคิม จองอึนและลูกสาวได้เดินทางไปเยี่ยมชมการฝึกซ้อมรบทางทหารดังกล่าวด้วย พร้อมกับระบุว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน ศัตรูกำลังแสดงท่าทีก้าวร้าวต่อเกาหลีเหนือมากขึ้น ทำให้เกาหลีเหนือต้องยกระดับการป้องปรามสงครามนิวเคลียร์อย่างต่อเนื่อง
ก่อนหน้านี้ ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือได้ประกาศบังคับใช้ ‘มาตรการป้องปรามสงคราม’ ในการประชุมคณะกรรมาธิการทางทหารของพรรคแรงงานเกาหลีเหนือ
โดยการป้องปรามทางสงครามมาจากทฤษฎีที่เชื่อว่า หากชาติใด้ชาติหนึ่งมีความพร้อมในการทำสงครามจะเป็นการช่วยป้องกันประเทศจากการโจมตีของศัตรู ศัตรูจะไม่กล้าโจมตีก่อน เพราะจะถูกตอบโต้กลับอย่างเท่าเทียมและรุนแรง ซึ่งการป้องปรามสงครามที่เชื่อว่ามีประสิทธิภาพมากที่สุด คือ การป้องปรามด้วยอาวุธนิวเคลียร์
อย่างไรก็ตาม แม้หลายฝ่ายจะระบุว่ามาตรการป้องปรามดังกล่าวอาจไม่ใช่การป้องปรามด้วยอาวุธนิวเคลียร์ เพราะเชื่อว่าเกาหลีเหนือยังไม่สามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้สำเร็จ
แต่คำกล่าวล่าสุดของผู้นำสูงสุด และการซ้อมรบของเกาหลีเหนือเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นการส่งสัญญาณการใช้มาตรการป้องปรามด้วยอาวุธนิวเคลียร์
KCNA ระบุว่า ในการฝึกซ้อมทางการทหารของเกาหลีเหนือเมื่อวานนี้ เกาหลีเหนือได้ทดสอบยิงขีปนาวุธพิสัยใกล้ที่ติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์จำลองไปยังทะเลนอกชายฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรเกาหลี
ขีปนาวุธดังกล่าวสามารถบินได้ไกล 800 กิโลเมตร ก่อนที่จะชนกับเป้าหมายที่ระดับความสูง 800 เมตร เพื่อจำลองการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์เชิงยุทธวิธี ซึ่งเป็นอาวุธนิวเคลียร์ขนาดเล็กและอาจใช้สำหรับการโจมตีในระยะใกล้ได้
ด้านกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นได้ออกมายืนยันว่า เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 66 เวลาประมาณ 11.50 น. ตามเวลาท้องถิ่น เกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธพิสัยใกล้ไปยังทะเลนอกชายฝั่งทะเลตะวันออก และอยู่นอกเขตเศรษฐกิจจำเพาะของญี่ปุ่น
รวมถึงประณามการกระทำของเกาหลีเหนือว่า เป็นการคุกคามสันติภาพและความมั่นคงในคาบสมุทรเกาหลี และถือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้
ทั้งนี้การทดสอบขีปนาวุธของเกาหลีเหนือที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 ในช่วงระยะเวลาที่เกาหลีใต้และสหรัฐฯ ซ้อมรบร่วมกัน ซึ่งเริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา
ครั้งแรก คือเมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา เกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธพิสัยใกล้ 2 ลูกลงสู่ทะเลลงไปตกยังชายฝั่งตะวันออก โดยระบุว่าเป็นการฝึกซ้อมทางทหารที่ออกแบบมาเพื่อฝึกทหารให้สามารถปฏิบัติภารกิจได้ทุกเมื่อและสังหารศัตรูหากจำเป็น
เมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมาเป็นครั้งที่ 2 ที่เกาหลีเหนือได้ทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีป หรือ ICBM ที่ชื่อว่า ‘ฮวาซอง-17’ ซึ่งมีพิสัยถึง 1,000 กิโลเมตร ยิงจากเขตชูนัน ใกล้กรุงเปียงยาง เมืองหลวงของเกาหลีเหนือ ไปยังน่านน้ำฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรเกาหลีประมาณ 550 กิโลเมตร และอยู่นอกเขตเศรษฐกิจจำเพาะของญี่ปุ่น
ขณะเดียวกันการทดสอบขีปนาวุธครั้งล่าสุด มีจุดที่น่าสังเกตหนึ่งจุดคือ เกาหลีเหนืออาจปล่อยขีปนาวุธออกมาจากไซโลที่อยู่ในภูเขา ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ
ไซโลเก็บขีปนาวุธ เป็นสถานที่สำหรับเก็บและปล่อยขีปนาวุธทั้ง ICBM ขีปนาวุธพิสัยกลางแบบนำวิถี และขีปนาวุธพิสัยกลางแบบทิ้งตัว
เนื่องจากไซโลสร้างอยู่ชั้นใต้ดินด้วยเหล็กกล้าหลายชั้นทำให้สามารถปกป้องการโจมตีด้วยนิวเคลียร์โดยศัตรู ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยิงขีปนาวุธ รวมถึงช่วยให้ตรวจจับขีปนาวุธได้ยากทำให้คาดเดาไม่ได้ว่าขีปนาวุธจะถูกปล่อยออกมาเมื่อใด
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การปล่อยขีปนาวุธจากไซโลของเกาหลีเหนือครั้งล่าสุดมีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มความเร็วและเสถียรภาพในการยิง รวมถึงคาดว่าเกาหลีเหนืออาจนำไปใช้ทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีปในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ข้อเสียของไซโลคือสามารถตรวจจับได้ด้วยภาพถ่ายทางดาวเทียม ทำให้มักจะถูกติดตามอย่างใกล้ชิดจากนานาชาติเพื่อประเมินสถานการณ์ตลอดเวลาเช่นกัน
นอกจากจากการทดสอบขีปนาวุธแล้ว วันนี้สื่อทางการเกาหลีเหนือได้รายงานว่า มีพลเมืองราว 1.4 ล้านคนที่อาสาเข้าร่วมหรือพร้อมที่จะกลับมาเข้าร่วมเป็นทหารในกองทัพอีกครั้ง ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว เพื่อต่อสู้กับสหรัฐฯ
ในรายงานยังอ้างอีกว่า อาสาสมัครเหล่านั้นระบุว่า จะตอบโต้การกระทำของสหรัฐฯ ที่พยายามจะทำลายอิสรภาพ รวมถึงสิทธิในการใช้ชีวิตและการพัฒนา พวกเขามีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะกำจัดศัตรูของชาติให้หมดสิ้น
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ดำเนินการซ้อมรบร่วมกันครั้งใหญ่ในรอบ 5 ปี เป็นระยะเวลา 11 วัน โดยวันนี้เข้าสู่การซ้อมรบวันที่ 8 แล้ว
สำหรับการซ้อมรบเมื่อวานนี้ เกาหลีใต้และสหรัฐฯ ได้จัดการซ้อมรบทางอากาศ โดยมีการใช้ M777 ฮาวอิตเซอร์ (Howitzer) สำหรับการฝึกโจมตีทางอากาศด้วย
นอกจากนี้ สหรัฐฯ นำเครื่องบิน B-1B ซึ่งเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ที่สามารถบรรทุกยุทโธปกรณ์และระเบิดนิวเคลียร์ได้เป็นจำนวนมาก ร่วมกับเครื่องบิน F-35A ของกองทัพอากาศเกาหลีใต้ และเครื่องบิน F-16 ของสหรัฐฯ
ทั้งนี้การซ้อมรบร่วมกันระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐฯ ภายใต้ปฏิบัติการ ‘Freedom Shield 23’ จะจัดขึ้นเป็นระยะเวลา 11 วัน ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคมไปจนถึงวันที่ 23 มีนาคม
การซ้อมรบร่วมนี้เกิดขึ้น หลังเกาหลีเหนือได้ทดสอบขีปนาวุธอย่างต่อเนื่อง สร้างความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี
เกาหลีใต้จึงจับมือกับสหรัฐฯ ตอบโต้ภัยคุกคามนี้ ด้วยการซ้อมรบครั้งใหญ่ร่วมกันอีกครั้ง หลังจากหยุดไปตั้งแต่ปี 2018 เนื่องการระบาดของโควิด
โดยการซ้อมรบครั้งนี้จะมุ่งไปที่การป้องปรามและเตรียมตอบโต้การโจมตีด้านอาวุธนิวเคลียร์จากเกาหลีเหนือโดยตรง