หลังข่าวการซ้อมรบออกมา เกาหลีเหนือออกมาประกาศทันทีว่า จะเดินหน้าทดสอบขีปนาวุธต่อไป ไม่สนใจการซ้อมรบของเกาหลีใต้และสหรัฐฯ โดยเป้าหมายการทดสอบจุดหนึ่งคือที่มหาสมุทรแปซิฟิก และหากใครขัดขวางจะถือว่าเป็นการประกาศสงครามและเมื่อวานนี้ ( 9 มี.ค.)การทดสอบขีปนาวุธของเกาหลีเหนือก็เริ่มขึ้นแล้ว
เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา สถานีโทรทัศน์ KRT สื่อทางการของเกาหลีเหนือเผยภาพการทดสอบขีปนาวุธที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นวานนี้
สหรัฐฯ ปัดยั่วยุ เกาหลีเหนือ ยันซ้อมรบ “เกาหลีใต้” ตามปกติ
น้องสาวคิม เตือนพร้อมโต้กลับหนัก สหรัฐฯ-เกาหลีใต้ซ้อมรบ
โดยภาพที่ปล่อยออกมาเป็นภาพนิ่งหลายภาพ เริ่มต้นด้วยภาพของคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือกับบุตรสาวและนายทหารระดับสูง ระหว่างชมการปล่อยขีปนาวุธ นอกจากนี้ยังมีภาพของแท่นยิงขีปนาวุธเรียงกันบนรถบรรทุก
KRT รายงานด้วยว่า ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือประกาศเพิ่มความเข้มข้นของการทดสอบขีปนาวุธและการซ้อมรบเพื่อเตรียมรับมือกับ “สงครามจริง”
ทางด้านผู้บัญชาการทัพร่วมของเกาหลีใต้ระบุว่า การทดสอบขีปนาวุธของเกาหลีเหนือครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ช่วงเวลาประมาณ 18.20 น. ตามเวลาท้องถิ่น ขีปนาวุธที่ทดสอบเป็นขีปนาวุธวิถีโค้งพิสัยใกล้ ยิงจากพื้นที่เมืองนัมโป ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของประเทศไปยังน่านน้ำนอกชายฝั่งตะวันตก
การยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือเมื่อวานนี้มีขึ้นเพื่อเป็นการข่มขู่สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ที่จะเริ่มแผนการซ้อมรบใหญ่ในวันที่ 13 มีนาคมหรืออีก 3 วันข้างหน้า การซ้อมรบที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 5 ปี ถือเป็นการเตรียมพร้อมและป้องปราม หลังจากช่วงปีที่ผ่านมา เกาหลีเหนือมีการทดสอบขีปนาวุธมากที่สุดในรอบหลายปี รวมถึงมีกระแสข่าวว่าเกาหลีเหนือกำลังเตรียมกลับมาทดสอบอาวุธนิวเคลียร์อีกครั้งหลังจากหยุดไป 5 ปี
เกาหลีเหนือยุติการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ไปในปี 2017 เพื่อขึ้นโต๊ะเจรจากับสหรัฐฯโดยการเจรจานี้เกิดขึ้นในปีถัดมาคือ ปี 2018 ที่ประเทศสิงคโปร์ ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ในขณะนั้น กับคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ ประเด็นหลักที่ผู้นำทั้งสองคุยกันคือ สหรัฐฯ ขอให้เกาหลีเหนือยุติโครงการพัฒนานิวเคลียร์เพื่อแลกกับการยกเลิกการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ
อย่างไรก็ตาม การเจรจาครั้งนั้นก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ที่มีนัยสำคัญออกมา เนื่องจากเกาหลีเหนือไม่พอใจที่สหรัฐฯ จะให้เกาหลีเหนือปลดอาวุธนิวเคลียร์เพียงฝ่ายเดียว จึงเป็นที่มาของการคาดการณ์ว่า เกาหลีเหนือจะกลับมาทดสอบอาวุธนิวเคลียร์อีกครั้งในเร็วๆ นี้ ทำให้สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ต้องเพิ่มการเฝ้าระวังและการซ้อมรบ
เมื่ออังคารที่ผ่านมา ‘คิม โยจอง’ น้องสาวของผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ ออกแถลงการณ์ประกาศถึงความไม่พอใจต่อแผนการซ้อมรบใหญ่ระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐฯ ที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยระบุในแถลงการณ์ว่า เกาหลีเหนือจะเดินหน้าทดสอบขีปนาวุธต่อไปถึงแม้จะมีการซ้อมรบใหญ่ก็ตาม
โดยมีแผนยิงทดสอบขีปนาวุธหลายลูก โดยมีเป้าหมายอยู่ที่มหาสมุทรแปซิฟิก และหากใครพยายามขัดขวางการทดสอบ เกาหลีเหนือจะถือว่านี่คือการประกาศสงคราม นี่ถือเป็นการขู่และการเตือนไปยังญี่ปุ่นและเกาหลีใต้โดยตรง โดยเฉพาะการยิงขีปนาวุธไปที่มหาสมุทรแปซิฟิก เพราะบริเวณดังกล่าวอยู่ใกล้หรือเป็นน่านน้ำของทั้ง 2 ชาตินี้
ที่เกาหลีเหนือไม่พอใจมากเป็นพิเศษต่อการซ้อมรบระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ เพราะการซ้อมรบนี้ใหญ่ที่สุดในรอบ 5 ปี ภายใต้ชื่อปฏิบัติการ "Freedom Shield" ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อการป้องปรามและเตรียมตอบโต้การโจมตีด้านอาวุธนิวเคลียร์จากเกาหลีเหนือโดยตรง
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ได้แถลงข่าวการซ้อมรบปฏิบัติการ "Freedom Shield" ร่วมกันเมื่อวันศุกร์ที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา
โดยจุดมุ่งหมายของการซ้อมรบครั้งนี้คือการเสริมความแข็งแกร่งของเกาหลีใต้ในการป้องกันตนเองและตอบโต้การโจมตีของศัตรู โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านอาวุธนิวเคลียร์ นอกจากนี้ การซ้อมรบร่วมจะครอบคลุมการฝึกภาคสนามในเชิงยุทธวิธี รวมถึงการซ้อมนำยุทโธปกรณ์สะเทินน้ำสะเทินบกขึ้นฝั่งที่คาบสมุทรเกาหลีด้วย
ก่อนหน้าการซ้อมรบใหญ่จะเกิดขึ้นในวันที่ 13 มีนาคมที่จะถึงนี้ เมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา เกาหลีใต้และสหรัฐฯ ก็เพิ่งจะมีการซ้อมรบร่วมทางอากาศกันที่บริเวณทะเลเหลืองซึ่งเป็นน่านน้ำที่อยู่ระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่กับคาบสมุทรเกาหลี
โดยการซ้อมรบร่วมในวันนั้น สหรัฐฯ ได้นำเครื่องบิน B-52 ซึ่งเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ที่สามารถบรรทุกระเบิดนิวเคลียร์เข้าร่วมการฝึกด้วย
การนำเครื่องบิน B-52 ออกมาโชว์ คือการส่งสัญญาณจากสหรัฐฯ ว่า ภัยคุกคามด้านนิวเคลียร์จากเกาหลีเหนืออาจเกิดขึ้นจริง และหากเกิดขึ้นสหรัฐฯ ก็พร้อมที่จะปกป้องเกาหลีใต้
นอกเหนือเกาหลีใต้แล้ว ชาติที่จะได้นับผลกระทบจากภัยคุกคามด้านนิวเคลียร์มากที่สุดอีกชาติคือ ญี่ปุ่น
แม้ทั้งสองชาติจะมีภัยคุกคามร่วมกัน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น ยังคงอยู่ในภาวะเย็นชามานานต่อเนื่อง จากรอยร้าวในอดีตที่ยังไม่ได้รับการเยียวยาอย่างเหมาะสม หนึ่งในนั้นคือ ปัญหาของชาวเกาหลีที่เคยถูกบริษัทญี่ปุ่นใช้แรงงานเยี่ยงทาส
การใช้แรงงานเกาหลีใต้เยี่ยงทาสของญี่ปุ่นเกิดขึ้นในช่วงที่ญี่ปุ่นยึดครองเกาหลี ระหว่างปี 1910-1945 หรือกว่า 35 ปี ที่ผ่านมาแรงงานเหล่านั้นพยายามเรียกร้องขอค่าชดเชยและความเป็นธรรม แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง
จนในที่สุดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา รัฐบาลเกาหลีใต้ตัดสินใจแก้ปัญหานี้เองด้วยการประกาศจ่ายค่าชดเชยให้เหยื่อเหล่านั้นเพื่อเยียวยารอยร้าวและทำให้ญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้สามารถร่วมมือต่อต้านภัยคุกคามในปัจจุบันได้
หลังจากจัดการเรื่องค่าเยียวยาได้ มีรายงานว่า ประธานาธิบดียุน ซอกยอลของเกาหลีใต้เตรียมเดินทางเยือนญี่ปุ่นในสัปดาห์หน้าเพื่อประชุมสุดยอดกับนายกรัฐมนตรีคิชิดะ ฟูมิโอะของญี่ปุ่น โดยนี่จะเป็นการเยือนญี่ปุ่นครั้งแรกของผู้นำเกาหลีใต้ในรอบ 12 ปี