"ทรัมป์" ถูกสั่งฟ้องข้อหาพยายามล้มผลเลือกตั้งประธานาธิบดี

โดย PPTV Online

เผยแพร่

จับตาดูการเมืองสหรัฐร้อนแรงมากในวันนี้หลังจากที่เมื่อคืนที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ คณะลูกขุนใหญ่ได้มีมติสั่งฟ้องอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ใน 4 ข้อหาหนัก ทั้งหมดเป็นข้อหาที่เกี่ยวข้องกับความพยายามล้มผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 ในคราวนั้นโดนัลด์ ทรัมป์ซึ่งลงสมัครรับเลือกตั้งในสังกัดพรรครีพับลิกัน พ่ายแพ้ให้กับโจ ไบเดน ผู้สมัครจากพรรคเดโมเครต ทรัมป์จะต้องเดินทางไปมอบตัวต่อศาลในวอชิงตันดีซีในวันที่ 3 ส.ค.

เมื่อคืนที่ผ่านมา ( 1ส.ค.) คณะลูกขุนใหญ่หรือ Grand Jury ของสหรัฐได้มีมติให้สั่งฟ้องอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในความผิดที่เกี่ยวข้องกับความพยามล้มผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2020

แจ็ค สมิธ อัยการพิเศษที่ได้รับการแต่งตั้งจากกระทรวงยุติธรรมให้สอบสวนกรณีดังกล่าวได้ออกมาแถลงว่า ข้อกล่าวหาที่ฟ้องทรัมป์มีทั้งหมด 4 กระทงด้วยกัน นั่นก็คือ 1. สมรู้ร่วมคิดในการฉ้องโกงรัฐบาล 2. สมรู้ร่วมคิดเพื่อขัดขวางการดำเนินการของทางการ 3. ขัดขวางและพยายามขัดขวางการดำเนินการของทางการ 4. สมรู้ร่วมคิดเพื่อละเมิดสิทธิ

“โดนัลด์ ทรัมป์” อดีตผู้นำสหรัฐฯคนแรกที่โดนฟ้องคดีอาญา

“โดนัลด์ ทรัมป์” โดนข้อหาเพิ่ม 4 กระทง พยายามคว่ำผลเลือกตั้งปี 2020

เอกสารสั่งฟ้องจำนวน 45 หน้าลงรายละเอียดอย่างชัดเจนเกี่ยวกับหลักฐานว่า อดีตผู้นำสหรัฐฯ และบรรดาผู้สมรู้ร่วมคิดจงใจแพร่ข้อมูลว่า มีการโกงการเลือกตั้งในปี 2020 ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลเท็จ พยายามให้กระทรวงยุติธรรมเปิดการสอบสวนว่ามีการโกงการเลือกตั้ง มีส่วนในการปลุกระดมผู้สนับสนุนของตนที่ปฏิเสธผลการเลือกตั้งให้ไปรวมตัวที่รัฐสภาในกรุงวอชิงตัน และขัดขวางกระบวนการรับรองผลการเลือกตั้งของสภาคองเกรสและทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่า อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำไปเพราะต้องการรั้งอำนาจเอาไว้ แม้จะแพ้การเลือกตั้งอย่างเป็นทางการไปแล้วก็ตาม

เอกสารสั่งฟ้องระบุโดยสรุปว่า เหตุการณ์ความวุ่นวายที่รัฐสภาเกิดเพราะปลุกเร้าด้วยคำโกหก การสอบสวนมุ่งเน้นไปที่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในช่วงสองเดือนระหว่างวันที่ 3 พฤศจิกายน 2020 ซึ่งเป็นวันเลือกตั้ง ไปจนถึงวันที่เกิดเหตุจลาจล หรือก็คือวันที่ 6 มกราคม  นอกจากอดีตผู้นำสหรัฐฯ แล้ว ยังมีมติให้สั่งฟ้องผู้สมรู้ร่วมคิดอีก 6 คน ในจำนวนนี้มีนักกฎหมายและทนายของทรัมป์และอดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม

อัยการพิเศษกล่าวเสริมอีกว่า เหตุการณ์บุกก่อจลาจลที่อาคารรัฐสภาถือเป็นการโจมตีต่อประชาธิปไตยของสหรัฐฯ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่อัยการพิเศษของศาลสหรัฐออกมาประกาศข้อกล่าวหา ทรัมป์ก็ได้ออกแถลงการณ์โต้ตอบทันที

อดีตผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่าการสั่งฟ้องครั้งนี้เป็นเพียงแค่นิติสงครามอีกครั้งที่ไบเดนและพรรคพวกนำกระบวนการยุติธรรมมาใช้เล่นงานเขาและเป็นการแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำลังจะมาถึงในปี 2024อีกทั้งยังเสริมว่า การสั่งฟ้องครั้งนี้ไร้ความชอบธรรมทางกฎหมาย หลายฝ่ายคาดการณ์ตรงกันว่าทรัมป์จะปฏิเสธข้อกล่าวหา

กรณีจลาจล 6 มกราเป็นคดีอาญาที่มีความเป็นการเมืองสูง เพราะเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งและสิทธิของประชาชน

หลังจากมีประกาศสั่งฟ้อง ประชาชนชาวอเมริกันจำนวนหนึ่งได้ออกมาแสดงความเห็นต่อข้อกล่าวหาที่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ พยายามล้มเลือกตั้ง บางคนแสดงความเห็นว่า อดีตผู้นำสหรัฐฯ ควรถูกดำเนินคดีจากการเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุบุกรัฐสภามานานแล้ว  อีกความเห็นหนึ่งระบุว่า กระบวนการไต่สวนจะเปิดเผยความจริงทั้งหมดออกมา เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย

เกิดอะไรขึ้นในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 และทำไมทรัมป์ถึงเกี่ยวข้องกับเหตุความวุ่นวายในวันที่มีการบุกถล่มรัฐสภา

การเลือกตั้งถูกจัดขึ้นในสัปดาห์แรกของเดือนพฤศจิกายน ในคราวนั้น ทรัมป์ลงชิงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีในสมัยที่ 2 ในนามของพรรครีพับลิกัน โดยคู่แข่งคือ โจ ไบเดน จากพรรคเดโมเครตผลการเลือกตั้งที่ออกมา ทรัมป์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่เขาประกาศไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง

วันที่ 6 มกราคม ปี 2021 ภายในอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ที่ตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดีซี ขณะที่บรรดาสว. กำลังเตรียมที่จะลงมติรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ โดยมี ไมก์ เพนซ์ เป็นประธาน

ที่สวนสาธารณะดีอิปส์ ไม่ไกลจากอาคารรัฐสภา บรรดาผู้สนับสนุนทรัมป์นัดหมายชุมนุมกัน โดยมีทรัมป์ขึ้นปราศรัยด้วย

ในตอนแรกการชุมนุมเป็นไปอย่างสงบ จนกระทั่งเมื่อทรัมป์เริ่มปลุกระดมผู้คน โดยบอกพวกเขาว่า ให้สู้สุดชีวิต ผู้ชุมนุมจึงเริ่มเคลื่อนขบวนไปยังอาคารรัฐสภา บริเวณสภามีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย แต่พวกเขามีจำนวนน้อยกว่าผู้ชุมนุมมาก และไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น

ผู้ชุมนุมที่มีจำนวนหลายร้อยคนฝ่าราวกั้นเข้าไปในอาคารรัฐสภา และนำไม้มาทุบกระจกเพื่อบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาจนสำเร็จ

ก่อนที่จะบุกเข้าไปห้องต่างๆ ทำลายข้าวของ และพยายามตามล่าหาตัวบรรดา สว. ที่ทำหน้าที่รับรองชัยชนะของโจ ไบเดนในวันนั้น ชาวอเมริกันจำนวนมากบอกว่า นี่คือเหตุการณ์ที่น่าอับอายที่สุด เป็นครั้งแรกในรอบ 208 ปีที่สัญลักษณ์อำนาจของประชาชนอย่างอาคารรัฐสภาถูกบุกรุก นี่คือการหยามเกียรติและทำลายกระบวนการประชาธิปไตยของประเทศอย่างร้ายแรง

หลังเหตุการณ์ มีรายงานว่าผู้สนับสนุนทรัมป์ที่เข้าร่วมการจลาจลหลายคนมีความเกี่ยวข้องกับขบวนการฝ่ายขวาอย่างกลุ่ม Proud Boys หรือกลุ่ม QAnon ที่ขยายตัวอย่างมากในโลกออนไลน์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กลุ่มเหล่านี้เชื่อมั่นทฤษฎีสมคบคิด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเชื่อว่ามีการโกงการเลือกตั้งเกิดขึ้น ล่าสุดมีรายงานว่า ผู้เข้าร่วมก่อจลาจลถูกตั้งข้อหาไปแล้วร่วม 1,000 ราย ข้อหาที่ถูกตั้งมีตั้งแต่ทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขัดขวางกระบวนการดำเนินการของทางการ

แต่ข้อหาที่ร้ายแรงและซับซ้อนที่สุดคือ การสมคบคิดร่วมกันระหว่างสมาชิกขบวนการฝ่ายขวาและเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ส่วนทรัมป์ที่ตอนนั้นอยู่ในโค้งสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เผชิญกับการถอดถอนทันที ในข้อหาปลุกปั่นยุยงให้เกิดความรุนแรงอย่างไรก็ตามในขั้นการพิจารณาของสว. มติการถอดถอนไม่ถึง 2 ใน 3 เพราะได้เพียง 57 ต่อ 43 เสียง ไม่ถึง 67 เสียง จึงไม่สามารถถอดถอนได้ และทำให้ทรัมป์ยังมีสิทธิลงเลือกตั้งในปี 2024

อย่างไรก็ดี รัฐบาลกลางโดยกระทรวงยุติธรรมได้มีความพยายามดำเนินคีอาญากับทรัมป์ต่อ และเป็นที่มาของการที่คณะลูกขุนใหญ่มีมติเห็นชอบให้สั่งฟ้องทรัมป์ในวันนี้

หลังมติของลูกขุนใหญ่ออกมา สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ทรัมป์ต้องเดินทางไปมอบตัวต่อศาลในกรุงวอชิงตันในวันที่ 3 สิงหาคม นี่เป็นข้อหาหนักเพราะเป็นคดีอาญา เพราะเป็นคดีที่รัฐบาลกลางเป็นผู้ยื่นฟ้อง หรือที่เรียกว่า Federal crime

แต่นี่ไม่ใช่คดี Federal crime แรกที่ทรัมป์ถูกตั้งข้อหา เพราะเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทรัมป์เพิ่งเจอกับคดีอาญาที่รุนแรงไป นั่นก็คือคดีจัดการเอกสารลับไม่เหมาะสม

เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐเพิ่งจะฟ้องทรัมป์ในข้อหาจัดการเอกสารลับไม่เหมาะสม ครั้งนั้นทรัมป์โดนข้อกล่าวหาทั้งหมด 37 กระทง โดย 31 กระทงเป็นความผิดเกี่ยวกับการยึดเอกสารลับด้านความมั่นคง ซึ่งโทษจำคุกสูงสุดกระทงละ 10 ปี ส่วนที่เหลือเป็นความผิดเกี่ยวกับการปกปิดซ้อนเร้น และที่หนักที่สุดคือ พยายามขัดขวางกระบวนการยุติธรรมซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 20 ปีทรัมป์ปฎิเสธทุกข้อกล่าวหาที่มีต่อเขา

ตามกฎหมายแล้ว เมื่อประธานาธิบดีลงจากตำแหน่งจะต้องส่งคืนเอกสารและบันทึกของประธานาธิบดีทั้งหมดให้กับหอจดหมายเหตุแห่งชาติเพื่อเก็บรักษาอย่างไรก็ตาม หลังทรัมป์ลงจากตำแหน่งในเดือนมกราคมปี 2021 ทางหอจดหมายเหตุแห่งชาติแจ้งว่ามีเอกสารลับจำนวนหนึ่งหายไป กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ จึงเริ่มทำการสืบสวน และพบว่าที่บ้านพักของทรัมป์ในรัฐฟลอริดามีเอกสารมากกว่า 11,000 ฉบับวางกระจัดกระจายอยู่ตามห้องต่างๆ ทั่วบ้าน

เอกสารหลายฉบับเกี่ยวข้องกับความมั่นคงและถูกจัดให้อยู่ในระดับชั้นความลับสุดยอดรวมอยู่ด้วย เช่น รายงานที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนและที่ตั้งอาวุธนิวเคลียร์ แผนการป้องกันประเทศ แผนการโต้กลับ แผนจำลองยามศึกสงคราม รวมถึงเอกสารด้านความมั่นคงของ Five Eyes ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ 5 ชาติ เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ และสหราชอาณาจักร

และเมื่อปลายเดือนกรกฎาที่ผ่านมา ทรัมป์ถูกตั้งข้อหาเพิ่มอีก 3 กระทงเพราะขัดขวางกระบวนการสอบสวนเจ้าหน้าที่ FBI จากกรณีเก็บเอกสารลับของรัฐบาลกลางอีกเช่นกัน ทั้งนี้ ทั้งต่อข้อกล่าวหาล้มการเลือกตั้งและเก็บเอกสารลับรัฐบาลกลาง ทรัมป์มักระบุว่าเป็นการล่าแม่มด เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองจากคู่แข่ง โดยเฉพาะประธานาธิบดีโจ ไบเดน เพื่อขัดขวางไม่ให้เขากลับมาลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2024

ปัจจุบัน ทรัมป์ประกาศตัวว่าจะลงสมัครเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง คำถามคือการที่ทรัมป์มีคดีหาติดตัวเช่นนี้จะส่งผลต่อการลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ตามกฎหมายสหรัฐฯ การถูกดำเนินคดีจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการลงสมัครรับเลือกตั้งหรือแม้แต่การเป็นประธานาธิบดี เพราะคุณสมบัติของผู้ที่จะลงเลือกตั้งตามที่กฎหมายกำหนดมีเพียง 3 ข้อเท่านั้น นั่นก็คือ ต้องเป็นพลเมืองอเมริกันโดยกำเนิด ต้องมีอายุไม่ต่ำว่า 35 ปี และมีถิ่นที่อยู่ในสหรัฐโดยถูกต้องตามกฎหมายไม่ต่ำกว่า 14 ปี

หลายฝ่ายรวมทั้งถ้อยคำที่ระบุอยู่ในเอกสารสั่งฟ้องระบุไปในทิศทางเดียวกันว่า ความพยายามล้มผลการเลือกตั้งของอดีตผู้นำสหรัฐฯ คือการโจมตีหรือจุดตกต่ำของประชาธิปไตยสหรัฐฯ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น  เชอริล เบเดอร์ นักวิชาการด้านกฎหมายประจำ Fordham University School of Law ได้ให้ความเห็นไว้ว่า คำโกหกของทรัมป์ว่ามีการโกงการเลือกตั้งไม่ใช่แค่คำโกหกธรรมดา แต่เป็นคำโกหกที่ปฏิเสธเจตจำนงของประชาชนที่ลงคะแนนเสียงเพื่อเปลี่ยนผลการเลือกตั้ง หมายความว่าสิ่งที่ทรัมป์ทำบั่นทอนกระบวนการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย

อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์อีกเข่นกันว่าอุปสรรคในการดำเนินคคีครั้งนี้อาจเป็นบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับที่ 1 หรือ The First Amendment ซึ่งว่าด้วยสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพในการพูด เนื่องจากอาจตีความขอบเขตของเสรีภาพในการพูดได้กว้างมาก แต่ในกรณีนี้ Aziz Huq ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายจาก University of Chicago Law School ระบุว่า คำพูดหรือในกรณีนี้ก็คือคำโกหกที่นำไปสู่การก่อเหตุแทบไม่เคยได้รับการคุ้มครองภายใต้บทบัญญัติดังกล่าว

Bottom-BDMS Bottom-BDMS

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

PPTVHD36

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ