สำนักข่าวอิรวดี รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวภายในรัฐบาลและกองทัพเมียนมา ระบุว่า ขณะนี้รัฐบาลทหารได้เริ่มกระบวนการเรียกกำลังทหารจากภูมิภาคอื่น ๆ เข้ามาประจำการตามฐานที่มั่นต่าง ๆ ในกรุงเนปิดอว์และจังหวัดโดยรอบ
โดยรัฐบาลทหารเมียนมา มีแผนจะระดมกำลังพลประมาณ 10,000 นาย จาก 3 ภูมิภาคหลัก ประกอบด้วยมันฑะเลย์ พะโค และย่างกุ้ง โดยก่อนหน้านี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทั้ง 3 ภูมิภาคได้เริ่มส่งหน่วยคอมมานโดจำนวน 4,000 นายเข้าสู่กรุงเนปิดอว์แล้ว
ผ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาพักโจมตี ให้ชาวต่างชาติอพยพ
สื่อเมียนมาแฉ ทหารฝ่ายรัฐบาลยอมจำนนแล้ว 400 นาย
กองกำลังชาติพันธุ์ส่งสัญญาณ บุกยึดเมืองหลวงคือเป้าหมายสูงสุด
นอกจากนี้ ข้าราชการพลเรือนในพื้นที่เมืองหลวง ยังถูกบังคับให้ร่วมปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเจ้าหน้าที่รักษาดินแดนด้วย ขณะที่ตำรวจและทหารเมียนมา ได้เริ่มสร้างบังเกอร์ทั้งแบบถาวรและชั่วคราวในกรุงเนปิดอร์ และจังหวัดใกล้เคียง โดยสถานีตำรวจในพื้นที่จะถูกปรับปรุง เพื่อทำหน้าที่เป็นฐานที่มั่นทางทหารเมื่อเผชิญสถานการณ์ฉุกเฉิน
การเตรียมความพร้อมดังกล่าว เริ่มขึ้นไม่นานหลังจากหลายพื้นที่ทางภาคเหนือ รวมทั้งภาคตะวันตก เผชิญการโจมตีจากกลุ่มสามพันธมิตรภารดรภาพ ที่ประกอบด้วยกำลังทหารจากสามกลุ่มชาติพันธุ์ คือ กองทัพอารกัน กองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมาหรือกลุ่มโกก้าง และกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติ “ดาละอั้ง”
แต่สาเหตุหลักที่ทำให้รัฐบาลเมียนมา ต้องระดมกำลังป้องกันเมืองหลวง คาดว่าเป็นเพราะการสู้รบอยางดุเดือดในเมืองลอยก่อว์ รัฐคะยา ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเนปิดอว์ประมาณ 200 กิโลเมตร
โดยสัปดาห์ที่แล้ว “กองกำลังปกป้องชนชาติกะเหรี่ยง” หรือ KNDF ได้เผยแพร่การบุกจู่โจมฐานที่มั่นของกองทัพเมียนมาในเมืองลอยก่อว์ และควบคุมทหารฝ่ายรัฐบาลจำนวนหนึ่งที่ยอมแพ้
นอกจากนี้ KNDF ยังเปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลากว่า 10 วันของการปะทะ กองกำลังในสังกัดได้สังหารทหารฝ่ายรัฐบาลไม่ต่ำกว่า 200 นาย ซึ่งเป้าหมายของการจู่โจมคือ ขับไล่ทหารฝ่ายรัฐบาลทั้งหมดออกจากเมืองลอยก่อว์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐคะยา
สำหรับสถานการณ์การสู้รบ ที่ฝ่ายรัฐบาลเมียนมามีแนวโน้มสูญเสียหลายพื้นที่สำคัญ ทำให้ประธานาธิบดี มิน ส่วย แสดงความกังวลระหว่างการประชุมด้านความมั่นคงว่าประเทศอาจแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หากไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้
ขณะที่ นายเจสัน ทาวเวอร์ (Jason Tower) ผู้อำนวยการโครงการเมียนมาประจำสถาบันสันติภาพ หรือ USIP ของสหรัฐฯ ระบุว่า การสู้รบที่เกิดขึ้น กำลังกลายเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อความอยู่รอดของคณะรัฐบาลทหาร ที่นำโดยพลเอก มิน อ่องหล่าย
นอกจากนี้ ทาวเวอร์ยังตั้งข้อสังเกตว่า การที่กองกำลังชาติพันธุ์ โดยเฉพาะกองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมาหรือกลุ่มโกก้าง สามารถบุกยึดหลายพื้นที่ทางเหนือได้สำเร็จ ถือเป็นผลดีต่อความพยายามในการปราบปรามกลุ่มอาชญากรบนโลกออนไลน์ ที่ใช้พื้นที่ดังกล่าวเป็นฐานการกระทำความผิด
ทาวเวอร์ เสริมว่า กลุ่มสามพันธิมตรภราดรภาพ ที่รวมถึงกองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมา ยังมีบทบาทสำคัญในการปราบปราม และกดดันแก๊งต้มตุ๋นเหล่านี้ ให้ปล่อยตัวชาวจีนที่ถูกควบคุมตัวไว้ก่อนหน้านี้ด้วย
เตรียมพร้อม! เปิดรับแรงงานภาคเกษตร สนใจทำงานเกาหลีไม่ต้องสอบวัดระดับภาษา
หลุดเองตั๋วเพื่อไทย เศรษฐา เปิดประเด็น สส.ฝาก ตำแหน่งผู้กำกับใหม่
ปิดฉาก 59 ปี “โรงงานเหล็กกรุงเทพฯ” ขาดทุนทุกปีสูงสุดหลักพันล้าน