คืนวันที่ 10 ก.ย. ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ (08.00 น. ตามเวลาประเทศไทย) ศึกการดีเบตครั้งแรกระหว่าง “กมลา แฮร์ริส” จากพรรคเดโมแครต และ “โดนัลด์ ทรัมป์” จากพรรครีพับลิกัน สองผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เริ่มขึ้น
นี่นับเป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างทั้งสองคนในการดีเบตแสดงวิสัยทัศน์ หลังการดีเบตครั้งก่อนเป็นทรัมป์กับประธานาธิบดี โจ ไบเดน กระทั่งต่อมาไบเดนประกาศถอนตัวและดันแฮร์ริสเป็นแคนดิเดตชิงตำแหน่งแทน
การดีเบตครั้งนี้จัดขึ้นโดยสถานีโทรทัศน์ ABC News ซึ่งในการเปิดดีเบตทั่วโลกได้เห็นภาพผู้สมัครทั้งสองจับมือกัน โดยแฮร์ริสเป็นฝ่ายเดินยื่นมือเข้าไปหาทรัมป์ ซึ่งอดีตประธานาธิบดีก็ยอมจับมือด้วย
แฮร์ริสบอกกับทรัมป์ว่า “ขอให้เป็นดีเบตที่ดี” ซึ่งเขาตอบว่า “ยินดีที่ได้เจอ”
อัปเดต "iOS 18" ไอโฟนเก่ารุ่นไหนรองรับบ้าง เช็กที่นี่!
เช็กพื้นที่! ตัดกระแสไฟฟ้า เหตุน้ำท่วมแม่สาย
เศรษฐกิจ
การปะทะกันเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ประเด็นแรกนั่นคือเรื่องของเศรษฐกิจแฮร์ริสเป็นฝ่ายเริ่มก่อนโดยบอกว่า เธอเกิดมาในชนชั้นกลาง และเป็นคนเดียวบนเวทีที่มีแผนยกระดับชนชั้นกลางและคนทำงานในสหรัฐฯ
“ฉันเชื่อในความทะเยอทะยาน ความปรารถนา และความฝันของอเมริกันชน ฉันมีแผนการสร้าง “เศรษฐกิจแห่งโอกาส” (Opportunity Economy) เรารู้ว่าเรามีบ้านที่อยู่อาศัยที่ราคาแพงเกินสำหรับหลายคน เรารู้ว่าครอบครัวใหม่ต้องการการสนับสนุนเพื่อเลี้ยงลูก และฉันตั้งใจจะขยายการลดภาษีให้ครอบครัวเหล่านี้ 6,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้ครอบครัวเหล่านั้นสามารถซื้อเปลเด็ก คาร์ซีต หรือเสื้อผ้า ให้เด็ก ๆ ได้” แฮร์ริสกล่าว
เธอยังเสริมว่า มีแผนลดภาษี 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ ให้กับธุรกิจขนาดเล็ก เพราะพวกเขาคือสันหลังของเศรษฐกิจหรัฐฯ “ขณะที่คู่แข่งของฉัน แผนของเขามีแต่การหั่นภาษีคนรวยและธุรกิจขนาดใหญ่ และยังมีแผนที่ฉันเรียกว่า “Trump Sales Tax” ซึ่งจะเป็นภาษี 20% ในสินค้าทุกอย่างที่คุณต้องใช้ และจะทำให้ชนชั้นกลางมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี”
ทรัมป์โต้แย้ง โดยบอกว่า เขามีแต่การจัดเก็บภาษีต่างชาติ ซึ่งเคยสร้างรายได้หลายพันล้านหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐจากการเก็บภาษีจีน
เขายังบอกอีกว่า “ในสมัยผมไม่มีปัญหาเงินเฟ้อ เรามีเศรษฐกิจที่ย่ำแย่เพราะเงินเฟ้อ ในระดับที่หลายคนไม่เคยเห็นมาก่อน อาจจะแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติเราเลยก็ได้ ที่ประมาณ 21% นี่เป็นหายนะไม่ใช่แค่สำหรับคนชั้นกลาง แต่สำหรับทุกคน”
จากนั้นทรัมป์นอกเรื่องไปยังประเด็นผู้อพยพข้ามแดน โดยบอกว่า “มีคนเข้ามาในประเทศจากเรือนจำ สถาบันจิตเวช โรงพยาบาลบ้า พวกเขาเข้ามาและแย่งงานเรา ทั้งพวกแอฟริกัน-อเมริกัน หรือฮิสแปนิก เราจะเห็นผลกระทบจากเรื่องนี้ในเร็ววัน ดูที่โคโลราโดสิ พวกเขากำลังเข้ามายึดครองหลายเมือง ยึดตึกรามบ้านช่อง นี่คือคนที่แฮร์ริสและไบเดนนำเข้ามา และกำลังทำลายประเทศของเรา เรากำลังมีอัตราอาชญากรรมที่สูงมาก และเราต้องเอาพวกเขาออกไป”
จากนั้นเขาวกกลับมายังเรื่องเศรษฐกิจ โดยบอกว่า “ผมสร้างเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และจะทำอีก และจะทำให้ดียิ่งขึ้นไปอีกด้วย”
แฮร์ริสฟาดกลับว่า สิ่งที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เหลือเอาไว้ คืออัตราว่างงานที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ Great Depression รวมถึงยังทิ้งสถานการณ์สาธารณสุขที่แย่สุดเอาไว้ และทิ้งการทำร้ายระบอบประชาธิปไตยที่แย่สุดในประวัติศาสตร์ตั้งแต่สงครามกลางเมือง “และสิ่งที่เราทำคือการตามเก็บกวาดสิ่งที่เขาทำไว้”
ทรัมป์ตอกกลับว่า ทุกคนรู้ว่าเขาจะทำอะไร เขาจะหั่นภาษี สร้างเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่เหมือนที่เคยทำมา และยังอ้างว่า แม้แต่ช่วงที่เจอโรคระบาดโควิด-19 เขายังสามารถสร้างอัตราการจ้างงานเป็นปรากฏการณ์ “ประเทศที่เราส่งต่อให้พวกเขาคือประเทศที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นอยู่ในระดับสูงก่อนโรคระบาดเข้ามาเสียอีก ไม่มีใครเคยเห็นสิ่งนี้ เราทำให้สิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าเป็นไปได้”
แฮร์ริสแย้งว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่มีแผนอะไรสำหรับคุณ และถ้าดูแผนเศรษฐกิจของเขา มันจะมีแต่เรื่องการลดภาษีคนรวย แต่สิ่งที่เธอเสนอให้คือเศรษฐกิจแห่งโอกาส และนักเศรษฐาสตร์ที่ดีที่สุดในประเทศหรืออาจจะในโลก ได้ดูแผนสำหรับอนาคตของสหรัฐฯ ดังกล่าวแล้ว
“โกลด์แมน แซคส์ บอกว่า แผนของ โดนัลด์ ทรัมป์ จะทำให้เศรษฐกิจแย่ลง ส่วนแผนของฉันจะทำให้เศรษฐกิจแข็งแกร่งขึ้น นักเศรษฐาสตร์รางวัลโนเบล 16 คนบอกตรงกันว่า แผนของเขาจะทำให้เงินเฟ้อขึ้น และภายในกลางปีหน้าจะทำให้เกิดเศรษฐกิจถดถอย” แคนดิเดตพรรคเดโมแครตกล่าว
ทรัมป์สวนว่า “ผมไปที่วิทยาลัยการเงินวอร์ตัน และศาสตราจารย์หลายคน ศาสตราจารย์ระดับท็อปหลายคน คิดว่าแผนของผมเป็นแผนที่ยอดเยี่ยม เป็นแผนที่จะเพิ่มคุณค่าของเราในฐานะประเทศ มันจะทำให้ผู้คนต้องการทำงานและสร้างงาน และสร้างเงินดีมากมายให้ประเทศของเรา เธอต่างหากที่ไม่มีแผน เธอก๊อบปี้แผนของไบเดน”
เขาเสริมว่า “พวกเขามีอัตราเงินเฟ้อที่สูงที่สุดอาจจะในประวัติศาสตร์ของชาติเรา ผมไม่เคยเห็นช่วงเวลาที่ผู้คนไม่สามารถซื้อได้กระทั่งซีเรียล เบคอน ไข่ หรืออะไรก็ตาม ผู้คนในประเทศเรากำลังจะตายเพราะสิ่งที่พวกเขาทำ พวกเขาทำลายเศรษฐกิจ”
ทรัมป์ยังโจมตีแฮร์ริสว่า “เธอเป็นมาร์กซิสต์ พ่อเธอเป็นมาร์กซิสต์ เขาสอนเธอมาดี ดูสิ่งที่เธอทำให้กับประเทศของเรา และถ้าดูคนนนับล้านที่เข้ามาในประเทศของของเราแต่ละเดือน และดูสิ่งที่พวกเขาทำกับประเทศของเรา พวกเขาคืออาชญากร และมันแย่ต่อเศรษฐกิจของเรา พวกเขาและเธอทำลายประเทศของเรา”
การทำแท้ง
ต่อมาเรื่องของการทำแท้งซึ่งเป็นประเด็นที่ชาวอเมริกันจำนวนมากจับตา เนื่องจากเมื่อปี 2022 ศาลฎีกาสหรัฐฯ เพิ่งมีคำสั่งยกเลิกคำตัดสินคดี “Roe v Wade” หรือการกำหนดให้ “การทำแท้งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ” ที่มีผลยึดถือมาตั้งแต่ปี 1973
ทรัมป์เปิดฉากประเด็นนี้ด้วยการโจมตีอดีตผู้ว่าการรัฐเวสต์เวอร์จิเนียจากพรรคเดโมแครต โดยอ้างว่าเขาเคยบอกว่า ให้เด็กเกิดมา แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำไงกับเด็ก “นั่นคือการประหารเด็กหลังเกิดมา พวกเดโมแครตเป็นพวกสุดโต่ง และรองประธานาธิบดีที่แฮร์ริสเลือกมา ทิม วอลซ์ เคยบอกว่า การทำแท้งตอนอายุครรภ์ 9 เดือนเป็นสิ่งที่ทำได้ มันคือการประหารหลังเกิด ไม่ใช่การทำแท้ง และนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมโอเค”
เขาบอกว่า สิ่งที่เขาทำคือทำให้ Roe v Wade กลายเป็นกฎหมายระดับรัฐ ให้แต่ละรัฐกำหนดกฎหมายทำแท้งกันด้วยตัวเอง และด้วยอัจฉริยภาพ จิตใจ และพลัง ของผู้พิพากษาศาลฎีกา 6 คน ทำให้สามารถทำได้ โดยหลายรัฐห้ามทำแท้งจริง แต่มีข้อยกเว้นกรณีถูกข่มขืน การถูกพี่น้องล่วงละเมิด และเมื่อครรภ์เป็นอันตรายต่อแม่เด็ก
“นี่คือประเด็นที่แบ่งประเทศของเรามากว่า 52 ปี ไม่ว่าจะนักกฎหมาย เดโมแครต รีพับลิกัน เสรีนิยม อนุรักษ์นิยม ทุกคนต้องการให้นำเรื่องนี้กลับสู่รัฐ” ทรัมป์อ้าง
แฮร์ริสบอกว่า “อย่างที่บอก คุณจะได้ยินเรื่องโกหกจำนวนมากจากเขา และนั่นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ทรัมป์เลือกผู้พิพากษาศาลฎีกามา 3 คนเพื่อให้พวกเขายกเลิกความคุ้มครองกฎหมาย Roe v Wade และทำตามสิ่งที่ทรัมป์ต้องการ ตอนนี้มีหลายรัฐที่มี Trump Abortion Ban ซึ่งทำให้หมอหรือพยาบาลกลายเป็นอาชญากร ไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่เคสข่มขืน หรือการถูกพี่น้องล่วงละเมิด
“เหยื่อของการถูกล่วงละเมิดร่างกายไม่มีสิทธิที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของพวกเขา นั่นมันไร้ศีลธรรมอย่างมาก” เธอกล่าว
รองประธานาธิบดีเสริมว่า “อย่าบอกผู้หญิงว่าต้องทำอะไรกับร่างกายของพวกเธอ ฉันได้คุยกับผู้หญิงทั่วประเทศ มีทั้งผู้หญิงท้องที่ต้องเสี่ยงตายเพราะถูกปฏิเสธไม่ให้ทำแท้ง ไม่มีคนกล้าทำคลอดเธอเพราะกลัวทำเธอแท้งแล้วต้องติดคุก หรือเด็ก 12-13 ที่เป็นเหยื่อของคนในครอบครัว พวกเธอเหล่านี้ต้องทนอุ้มท้องต่อไปหรือ ฉันสัญญา ถ้าคองเกรสผ่านร่างกฎหมายนำความคุ้มครอง Roe v Wade กลับมา ฉันจะลงนามผ่านร่างกฎหมายนั้นด้วยความภาคภูมิใจ”
ผู้อพยพข้ามชายแดน
ผู้ดำเนินรายการถามแฮร์ริส ถึงเรื่องที่มีรายงานว่า การบริหารในสมัยไบเดนมีตัวเลขผู้ข้ามแดนผิดกฎหมายสูงทุบสถิติ จนกระทั่งมีคำสั่งปิดแดนเข้มงวดเมื่อราว 6 เดือนที่ผ่านมานี้เอง ทำให้ตัวเลขลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จึงต้องการทราบว่า ทำไม่ฝ่ายบริหารของไบเดน จีงรอนานขนาดนั้นกว่าจะลงมือทำอะไรบางอย่าง และตัวเธอเองมีแผนจะทำอะไรที่แตกต่างออกไปเพื่อจัดการเรื่องนี้หรือไม่
แฮร์ริสบอกว่า เธอเป็นคนเดียวบนเวทีนี้ที่ได้ดำเนินคดีกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติในคดีค้าอาวุธ ยาเสพติด และค้ามนุษย์ และบอกว่า “รัฐสภาสหรัฐฯ รวมถึงสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่ยึดมั่นในหลักการอนุรักษ์นิยม ได้เสนอร่างกฎหมายความมั่นคงชายแดนซึ่งฉันสนับสนุน และร่างกฎหมายดังกล่าวจะทำให้มีเจ้าหน้าที่ชายแดนเพิ่มขึ้นอีก 1,500 นาย เพื่อช่วยเหลือผู้คนที่ทำงานอยู่ที่นั่นในขณะนี้”
เธอบอกว่า กฎหมายฉบับนี้จะทำให้สามารถหยุดยั้งการไหลของเฟนทานิล (Fentanyl) เข้าสู่สหรัฐฯ โดยรู้ว่ามีหลายครอบครัวที่รับชมดีเบตในคืนนี้ซึ่ง
ได้รับผลกระทบจากการพุ่งสูงของเฟนทานิลในประเทศ ร่างกฎหมายฉบับนี้จะทำให้มีทรัพยากรมากขึ้นในการดำเนินคดีกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ลักลอบค้าอาวุธ ยาเสพติด และค้ามนุษย์
จากนั้นแฮร์ริสโจมตีทรัมป์ โดยอ้างว่าเขาโทรหาบางคนในสภาคองเกรส ให้ยกเลิกร่างกฎหมายดังกล่าว เพราะเขาชอบมีปัญหามากกว่าจะแก้ปัญหา
“เรื่องนี้เกิดขึ้นในเวลาที่ประชาชนในประเทศของเราต้องการผู้นำที่หาทางแก้ไขปัญหาจริง ๆ แต่สิ่งที่เรามีคืออดีตประธานาธิบดีที่ชอบปัญหาแทนที่จะแก้ปัญหา” แฮร์ริสกล่าว
จากนั้นแฮร์ริสดำเนินกลยุทธ์ขุดหลุมพรางดักทรัมป์ ด้วยการบอกว่า จะเชิญทุกคนให้ลองเข้าร่วมการชุมนุมของทรัมป์ เพราะมันเป็นสิ่งที่น่าสนใจจริง ๆ ที่จะได้เห็นว่าในระหว่างการชุมนุมของเขา เขามักพูดถึงตัวละครสมมติ จะพูดถึงเรื่องที่กังหันลมสามารถทำให้เกิดมะเร็งได้ และจะเห็นผู้คนเริ่มออกจากการชุมนุมก่อนเวลาเพราะความเหนื่อยล้าและความเบื่อหน่าย
นอกจากนี้ “สิ่งที่คุณจะไม่ได้ยินเขาพูดถึงคือตัวคุณ คุณจะไม่ได้ยินเขาพูดถึงหัวเข่าของคุณ ความฝันของคุณ และความปรารถนาของคุณ และฉันจะบอกคุณ ฉันเชื่อว่าคุณสมควรได้รับประธานาธิบดีที่ให้ความสำคัญกับคุณก่อนจริง ๆ และฉันสัญญาว่าจะทำเช่นนั้น”
ทรัมป์ยับเหยื่อนั้นเข้าเต็ม ๆ เพราะแทนที่เขาจะจี้เธอเรื่องนโยบายชายแดน แต่กลับเสียเวลาพูดเรื่องแคมเปญการหาเสียงของเขาและโจมตีการหาเสียงของแฮร์ริส “ผู้คนไม่ยอมออกจากการหาเสียงของผม เพราะเป็นการหาเสียงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด การหาเสียงที่น่าเหลือเชื่อที่สุดในประวัติศาสตร์การเมือง”
เขายังบอกอีกว่า “ผู้คนต้องการประเทศของตนกลับคืนมา ต้องการทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่เธอกำลังทำลายประเทศนี้ และถ้าเธอเป็นประธานาธิบดี ประเทศนี้จะไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จ และเราอาจจะกลายเป็นเวเนซุเอลาที่โด๊ปยา”
จากนั้นทรัมป์วกกลับมาเรื่องผู้อพยพในไม่กี่วินาทีสุดท้าย เพื่อบอกว่ามีผู้อพยพที่กินแมวและสุนัขในเมืองสปริงฟิลด์ รัฐโอไฮโอ ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะจากแฮร์ริส ขณะที่ผู้ดำเนินรายการระบุว่าข้อมูลดังกล่าวไม่มีหลักฐาน
รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ยั่วทรัมป์ต่อ โดยกล่าวว่า “ฉันเดินทางไปทั่วโลกในฐานะรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ และผู้นำโลกกำลังหัวเราะเยาะโดนัลด์ ทรัมป์ ฉันได้พูดคุยกับผู้นำกองทัพ ซึ่งบางคนเคยร่วมงานกับคุณ และพวกเขาบอกว่าคุณเป็นความเสื่อมเสีย”
แฮร์ริสยังบอกว่า “ทรัมป์ไม่มีอารมณ์หรือความสามารถที่จะไม่สับสนกับข้อเท็จจริง” โดยหมายความถึงการที่เขาเพียรปฏิเสธความพ่ายแพ้การเลือกตั้งในปี 2020
ทรัมป์ตอบโต้คำพูดของแฮร์ริส โดยอ้างถึงนายกรัฐมนตรีฮังการี วิกเตอร์ ออร์บัน ว่าเขาพูดว่า “คุณทรัมป์กลับมาเป็นประธานาธิบดี พวกเขากลัวเขา” ซึ่งหมายถึงประเทศต่าง ๆ เช่น จีนและรัสเซีย
“ดูสิ วิกเตอร์ ออร์บันพูดแบบนั้น เขากล่าวว่าบุคคลที่ได้รับความเคารพนับถือและเกรงกลัวมากที่สุดคือ โดนัลด์ ทรัมป์” เขากล่าวเสริม
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีฮังการีชนะการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยก็จริง แต่หลังจากนั้นได้ดำเนินการทำให้สถาบันของระบอบประชาธิปไตยนั้นอ่อนแอลงโดยกัดกร่อนระบบกฎหมาย ไล่ข้าราชการออก ทำให้ธุรกิจเป็นการเมือง โจมตีสื่อ ข่มขู่พรรคฝ่ายค้าน และใส่ร้ายผู้อพยพ
สงคราม
อีกหนึ่งประเด็นที่หลายคนจับตาคือเรื่องของสงครามที่ดำเนินอยู่ในขณะนี้ ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน และสงครามอิสราเอล-ฮามาส
เมื่อถูกถามว่าเธอจะรักษาสันติภาพในฉนวนกาซาได้อย่างไร แฮร์ริสเล่าถึงความน่ากลัวของการโจมตีภายในอิสราเอลของกลุ่มฮามาสเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2023 เธอวิพากษ์วิจารณ์การตอบโต้ของอิสราเอลที่คร่าชีวิตชาวปาเลสไตน์ไปหลายหมื่นคนเพียงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวสนับสนุนแนวทางสองรัฐ สิทธิของอิสราเอลในการปกป้องตนเอง และคำมั่นสัญญาที่จะสร้างฉนวนกาซาขึ้นมาใหม่
แฮร์ริสกล่าวว่า “เราต้องการข้อตกลงหยุดยิง และเราต้องการให้ตัวประกันออกมา”
ด้านทรัมป์กล่าวถึงแฮร์ริสว่า “เธอเกลียดอิสราเอล” และเสริมว่าเธอเกลียด “ชาวอาหรับ” ด้วย และตำหนิแฮร์ริสที่ไม่สนใจ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลระหว่างการเยือนรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อไม่นานนี้ ซึ่งเธอไม่ได้เข้าร่วมการกล่าวสุนทรพจน์ต่อรัฐสภาของเขา
ส่วนเรื่องสงครามรัสเซีย-ยูเครน อดีตประธานาธิบดีกล่าวว่า “รัสเซียจะไม่มีวันเข้าไปในยูเครน” ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง
อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ย้ำว่า เขาสามารถยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนได้ภายใน 24 ชั่วโมง หากเขาได้รับเลือกกลับเข้าดำรงตำแหน่ง “ผมอยากให้สงครามยุติลง… ผู้คนนับล้านถูกฆ่าตาย”
ทรัมป์กล่าวต่อไปว่า เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับประธานาธิบดียูเครน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี และประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน “ผมจะทำมันให้สำเร็จได้ก่อนที่จะเป็นประธานาธิบดีด้วยซ้ำ” โดยอ้างว่า การเลือกตั้งของเขาจะรีเซ็ตสถานะทางภูมิรัฐศาสตร์
เมื่อถูกถามให้ชี้แจงจุดยืนของเขาว่า การที่ยูเครนชนะสงครามนั้นเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ หรือไม่ ทรัมป์กล่าวว่า “ผมคิดว่าเป็นผลประโยชน์สูงสุดของสหรัฐฯ ที่จะยุติสงครามนี้และทำมันให้สำเร็จในการเจรจาข้อตกลง เพราะเราต้องหยุดการทำลายชีวิตมนุษย์ทั้งหมดเหล่านี้”
อดีตประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริสไม่สามารถรักษาสันติภาพได้หลังจากถูกส่งไปเจรจากับผู้นำของยูเครนและรัสเซีย
เมื่อผู้ดำเนินรายการถามแฮร์ริสโดยตรงว่า เธอได้พบกับประธานาธิบดีรัสเซียหรือไม่ แฮร์ริสตอบว่า “ฉันบอกไว้ในตอนต้นของการดีเบตนี้ว่า คุณจะได้ยินคำโกหกมากมายจากผู้ชายคนนี้ และนี่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
แฮร์ริสกล่าวว่าเธอได้พบกับประธานาธิบดียูเครนหลายครั้ง “ความจริงก็คือ การยืนหยัดอย่างที่อเมริกาควรทำมาโดยตลอดในฐานะผู้นำที่ยึดมั่นในกฎและบรรทัดฐานระหว่างประเทศ ในฐานะผู้นำที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง เข้าใจว่าพันธมิตรที่เรามีทั่วโลกนั้นหวังพึ่งความสามารถของเราที่จะดูแลเพื่อนของเรา ไม่ใช่ชื่นชมศัตรูของเราเพียงเพราะคุณชื่นชอบคนที่แข็งแกร่ง แทนที่จะใส่ใจต่อประชาธิปไตย”
แฮร์ริสโจมตีทรัมป์เกี่ยวกับการที่เขาเป็นที่ชื่นชอบของผู้นำเผด็จการและเผด็จการระดับนานาชาติ “เป็นที่ทราบกันดีว่าเผด็จการและผู้ปกครองอำนาจนิยมเหล่านี้กำลังสนับสนุนให้คุณเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง เพราะมันชัดเจนมากว่าพวกเขาสามารถหลอกล่อคุณด้วยการยกยอและผลประโยชน์ได้”
ทรัมป์ตอบโต้กลับด้วยการเล่าถึงความพยายามของเขาที่จะให้ประเทศสมาชิกนาโตจ่ายเงินเข้าพันธมิตรมากขึ้น และวิพากษ์วิจารณ์แฮร์ริสรวมถึงไบเดนซึ่งปฏิเสธที่จะทำเช่นเดียวกัน ก่อนจะกล่าวว่ารองประธานาธิบดี “ไม่มีความกล้าที่จะขอ”
แฮร์ริสตอบว่า เธอเชื่อว่าทรัมป์อาจยุติสงครามได้อย่างรวดเร็วด้วยการยอมจำนนต่อปูติน
ทรัมป์ยังหยิบยกการจัดการของรัฐบาลไบเดนเกี่ยวกับการถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากอัฟกานิสถานขึ้นมาพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยให้เหตุผลว่า การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอในทำเนียบขาว
แฮร์ริสกล่าวว่า เธอเห็นด้วยกับการตัดสินใจของไบเดนที่จะถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากอัฟกานิสถานในปี 2021
จบดีเบต
ในระหว่างการกล่าวปิดท้าย รองประธานาธิบดีแฮร์ริสได้กล่าวประโยคที่คุ้นเคยสำหรับทุกคนที่เคยฟังในการหาเสียงของเธอว่า “เราจะไม่ย้อนกลับไป”
เธอกล่าวว่า “ค่ำคืนนี้ อเมริกาได้ยินวิสัยทัศน์ที่แตกต่างกันอย่างมากสองแบบสำหรับประเทศของเรา วิสัยทัศน์หนึ่งมุ่งเน้นไปที่อนาคต และอีกวิสัยทัศน์หนึ่งมุ่งเน้นไปที่อดีต ซึ่งเป็นความพยายามที่จะนำเราย้อนกลับไป แต่เราจะไม่ย้อนกลับไป”
ทรัมป์ตอบโต้ระหว่างการกล่าวปิดท้ายว่า แล้วทำไมเธอไม่ทำสิ่งที่พูดมาตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีไบเดน “เธออยู่มา 3.5 ปีแล้ว พวกเขามีเวลา 3.5 ปีในการแก้ไขปัญหาชายแดน พวกเขามีเวลา 3.5 ปีในการสร้างงานและทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพูดถึง ทำไมเธอถึงไม่ทำ?”
เขาจบดีเบตโดยเรียกประธานาธิบดี โจ ไบเดนและแฮร์ริสว่า “ประธานาธิบดีที่แย่ที่สุด รองประธานาธิบดีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศเรา”
“อวัจนภาษา” อาวุธของแฮร์ริสในการสู้ “ทรัมป์”
ในการดีเบตครั้งนี้ นอกจากปฏิภาณและวิสัยทัศน์ของแคนดิเดตทั้งสองแล้ว อีกสิ่งที่โดดเด่นและหลายคนน่าจะสังเกตเห็นคือ การใช้สีหน้าของ กมลา แฮร์ริส ในการตอบโต้คำพูดของทรัมป์ เพราะตามกฎการดีเบตจะต้องปิดไมค์ในระหว่างที่อีกฝ่ายพูด
นั่นทำให้เราได้เห็นรองประธานาธิบดีแฮร์ริสแสดงสีหน้าไม่เชื่อเมื่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์ตอบคำถามเกี่ยวกับจีน โดยเลิกคิ้ว ลดคาง และทำปากเป็นคำพูดว่า “นั่นไม่จริง” เกี่ยวกับคำตอบของเขา
แฮร์ริสอ้าปากค้างและส่ายหัวขณะที่ทรัมป์กล่าวว่าเธอก๊อบปี้เอาแนวนโยบายบางอย่างของเขาไปใช้ และเมื่อทรัมป์เรียกเธอว่า “มาร์กซิสต์” แฮร์ริสยกคิ้วและเอียงศีรษะ รวมถึงเมื่อทรัมป์อ้างถึงพ่อของแฮร์ริสว่าเป็นมาร์กซิสต์ แฮร์ริสก็เอามือแตะคางเพื่อแสดงความคิดใคร่ครวญ
หรือแม้แต่ช่วงที่ทรัมป์พูดเรื่องผู้อพยพกินแมวและสุนัข เธอก็จะหัวเราะด้วยความขับขัน
นอกจากนี้ ทุกครั้งที่ทรัมป์พูด สายตาของแฮร์ริสจะจับจ้องไปที่ทรัมป์ แต่เมื่อถึงคราวเธอพูด เธอจะมองมาที่กล้องเพื่อสื่อว่าเธอต้องการพูดกับประชาชนชาวอเมริกันทุกคน
ในขณะที่ฝั่งของทรัมป์นั้น มีรายงานว่าทีมงานของเขาขอให้เขามองกล้องตลอดเวลา ไม่ว่าในช่วงจังหวะที่เป็นฝ่ายรุกหรือตั้งรับ เพื่อแสดงความมั่นใจในการดีเบต
“ทรัมป์” ตกหลุมพรางคำพูดของ “แฮร์ริส” หลายครั้ง
เป็นที่ชัดเจนจากการดีเบตที่สิ้นสุดลงไปว่า กลยุทธ์ของทีมหาเสียงแฮร์ริส คือการทำให้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ “เสียอาการ” ซึ่งผู้ช่วยและพันธมิตรของรองประธานาธิบดีต่างปรบมือให้เมื่อแผนการยุยงของเธอได้ผล และการเตรียมการเป็นไปตามแผน
ภายในชั่วโมงแรกของการดีเบต ผู้ช่วยและพันธมิตรหลายคนต่างก็ชื่นชมการแสดงของเธอ แหล่งข่าวรายหนึ่งกล่าวว่า “มันเหมือนกับว่าเธอกดปุ่มแล้วเขาก็แสดงออกตามที่ตั้งใจไว้”
ในการอภิปรายที่กินเวลานานถึง 90 นาที แฮร์ริสมักจะทำให้อดีตประธานาธิบดีอารมณ์เสียอยู่เสมอ โดยกระตุ้นให้เขาพูดถึงการชุมนุมหาเสียง โจมตีเรื่องจลาจลบุกรัฐสภา 6 ม.ค. 2021 และจี้ใจดำเรื่องเจ้าหน้าที่ที่เคยดำรงตำแหน่งในรัฐบาลของเขาแต่ต่อมาเป็นผู้วิจารณ์การหาเสียงของทรัมป์อย่างเปิดเผย
หากการดีเบตมีผลแพ้ชนะ โดยพิจารณาจากการสร้างคะแนนบวกด้วยนโยบายที่นำเสนอ และปกปิดจุดอ่อนของตัวเอง สื่อต่างประเทศวิเคราะห์กันว่า ทางฝั่ง กมลา แฮร์ริส ทำได้ดีกว่า
แฮร์ริสทำให้ทรัมป์อยู่ในสถานะตั้งรับซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยโจมตีและเหน็บแนมหลายครั้งจนทรัมป์ตอบโต้สิ่งที่อยู่นอกเหนือการดีเบตอยู่หลายครั้ง เธอบอกว่าเขาอ่อนแอ กล่าวว่าผู้นำต่างประเทศกำลังหัวเราะเยาะเขา กล่าวว่าผู้คนออกจากการชุมนุมหาเสียของเขาก่อนเวลาเพราะ “ความเหนื่อยล้าและความเบื่อหน่าย”
แฮร์ริสเข้าร่วมดีเบตครั้งนี้โดยมีจุดอ่อนที่ชัดเจนในใจของชาวอเมริกันหลายคนในหลายหัวข้อ ทั้งเรื่องเงินเฟ้อ ปัญหาผู้อพนพชายแดน และการถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน แต่ทรัมป์กลับไม่สามารถนำจุดอ่อนเหล่านี้มาโจมตีเธอได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย