เลือกตั้งสหรัฐฯ 2024: “ทรัมป์” ถูกลอบสังหาร ช่วยเรียกคะแนนโหวตได้?

“ความพยายามลอบสังหารอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีได้อย่างไร?” เป็นคำถามที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสหรัฐฯ ถามมาแล้ว 2 ครั้งในฤดูกาลเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024

ครั้งแรกคือเมื่อทรัมป์ถูกลอบยิงระหว่างหาเสียงที่เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อวันที่ 13 ก.ค. ส่วนครั้งที่ 2 คือเมื่อ 15 ก.ย. ที่ผ่านมา หลังมีการจับกุมผู้ต้องสงสัยที่คาดว่ากำลังจะลงมือลอบยิงทรัมป์ที่สนามกอล์ฟในรัฐฟลอริดา

AFP/Robyn Beck

ประกาศฉบับที่ 1 พายุ“ดีเปรสชัน” รับมือฝนตกหนักถึงหนักมาก

เปิดใจ 2 นักบินอวกาศนาซา หลังต้องติดอยู่ในอวกาศ 8 เดือน

วิเคราะห์ฟุตซอลโลก 2024 ทีมชาติไทย พบ คิวบา 17 ก.ย.67

หลังจากการโจมตีครั้งล่าสุด ผลกระทบที่เกิดขึ้นยังคงไม่ชัดเจน แต่การตอบสนองของทรัมป์นั้นชัดเจนมาก อดีตประธานาธิบดีได้ออกแถลงการณ์ท้าทายพร้อมให้คำมั่นว่า “ผมจะไม่มีวันยอมแพ้!” ซึ่งเหมือนกับตอนถูกลอบยิงครั้งแรกที่ทรัมป์ซึ่งใบหูเปื้อนเลือดได้ชูกำปั้นพร้อมตะโกนว่า “สู้ สู้ สู้”

เช่นเดียวกับเหตุการณ์เมื่อเดือน ก.ค. ทรัมป์กล่าวโทษว่าการพยายามลอบยิงครั้งที่ 2 เป็นฝีมือของ กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต

ทรัมป์กล่าวว่าความพยายามลอบสังหารเป็นผลมาจากวาทกรรมและคำโกหกของพรรคเดโมแครตที่ทำให้ทรัมป์ตกเป้นเป้าความเกลียดชัง

เจมส์ เดวิส นักยุทธศาสตร์ของพรรครีพับลิกัน กล่าวว่า เหตุการณ์ลอบสังหารเหล่านี้อาจทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่สำคัญบางส่วนในรัฐสมรภูมิเลือกตั้งหันมาลงคะแนนเสียงให้ทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลให้ทรัมป์ได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสำคัญมาก เพราะในรัฐสวิงสเตทมักตัดสินด้วยคะแนนเสียงเพียงไม่กี่พันคะแนนเท่านั้น

ในขณะเดียวกัน เหตุการณ์ล่าสุดดูเหมือนว่าจะกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองที่เงียบกว่าการลอบสังหารครั้งแรก เดวิสกล่าวว่า นั่นเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า ภัยคุกคามจากความรุนแรงกลายเป็นเรื่องปกติเพียงใดในการแข่งขันเลือกตั้ง

“ผมได้พูดคุยกับผู้คนหลายคนหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และดูเหมือนว่าผู้คนจะคาดหวังถึงเรื่องนี้ และนั่นเป็นเรื่องที่น่าสยดสยองมาก ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะนี้ไม่ใช่ความตกใจเลย ผู้คนกำลังพูดถึงเรื่องนี้ในลักษณะที่ครุ่นคิดมากกว่า” เขากล่าว

นักวิเคราะห์การเมืองบางคนมองว่า การลอบสังหารในเดือน ก.ค. จะทำให้ทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งใหญ่เดือน พ.ย. อย่างแน่นอน เพราะประธานาธิบดี โจ ไบเดน ซึ่งเป็นคู่แข่งในขณะนั้น มีคะแนนนิยมที่ตกต่ำอย่างมาก จากผลงานการดีเบตที่เข้าขั้นน่าผิดหวัง

แต่ต่อมาไบเดนถอนตัวออกจากการแข่งขัน พรรคเดโมแครตสนับสนุนแฮร์ริสขึ้นมาแทน และทำให้โมเมนตัมของทรัมป์ลดลงอย่างมาก

การสำรวจความคิดเห็นแสดงให้เห็นว่า ผู้สมัครทั้งสองมีคะแนนสูสีกันอีกครั้ง การสำรวจความคิดเห็นเมื่อไม่นานนี้พบว่า ความนิยมของทรัมป์และแฮร์ริสแตกต่างกันเพียง 1% เท่านั้นในรัฐสำคัญ ๆ ได้แก่ มิชิแกน เพนซิลเวเนีย จอร์เจีย นอร์ทแคโรไลนา และแอริโซนา

รินา ชาห์ นักยุทธศาสตร์การเมือง คาดการณ์ว่า ทรัมป์จะไม่ได้สัมผัสปรากฏการณ์แบบในครั้งแรก “ครั้งนี้ไม่มีความเห็นอกเห็นใจเพิ่มขึ้น มันเป็นอย่างนั้นเอง ผู้คนต่างก็เชื่อในสิ่งที่พวกเขาเชื่อ”

ชาห์กล่าวว่า มีหลักฐานซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า เหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงพลวัตการเลือกตั้งในภูมิทัศน์ทางการเมืองเท่าไรนัก

เธอชี้ให้เห็นถึงเหตุการณ์ทางการเมืองที่น่าตื่นเต้นมากมาย ย้อนไปถึงความพยายามของทรัมป์ที่จะพลิกผลการเลือกตั้งปี 2020 และการถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาญาเมื่อต้นปีนี้ รวมถึงการออกจากการแข่งขันอย่างผิดปกติของไบเดน

เมื่อรวมกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ผิดหวังกับระบบการเมืองที่ถูกครอบงำโดยฐานเสียงที่กระตือรือร้นของทั้งสองพรรค และอิทธิพลที่มากเกินไปของกลุ่มผลประโยชน์พิเศษ เธอจึงคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยหลังจากเหตุลอบสังหารล่าสุดเมื่อวันที่ 15 ก.ย.

“ผู้คนไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลย จากนั้นก็มีความเฉยเมยเป็นวงกว้าง เพราะประชาธิปไตยแบบตัวแทนของอเมริกากำลังพังทลาย” ชาห์กล่าว

 

เรียบเรียงจาก Al Jazeera