รายงานใหม่ของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจโลกด้านเศรษฐศาสตร์ของน้ำ ซึ่งเผยแพร่เมื่อ 16 ต.ค. ระบุว่า มนุษย์ได้ทำให้วัฏจักรน้ำ (Water Cycle) ของโลกเสียสมดุล “เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์” ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติทางน้ำมากขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดหายนะต่อเศรษฐกิจ การผลิตอาหาร และชีวิตความเป็นอยู่
รายงานระบุว่า การใช้ที่ดินแบบทำลายล้างและการจัดการน้ำที่ไม่เหมาะสมมาหลายทศวรรษผนวกกับวิกฤตสภาพอากาศที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ได้ทำให้เกิด “ความเครียดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” ต่อวัฏจักรน้ำของโลก
วัฏจักรน้ำหมายถึงระบบที่ซับซ้อนซึ่งทำให้น้ำหมุนเวียนอยู่รอบโลกในสภาวะต่าง ๆ เริ่มจากน้ำระเหยจากพื้นดิน ทะเลสาบ แม่น้ำ และพืช แล้วลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ก่อตัวเป็นไอน้ำที่สามารถเดินทางเป็นระยะทางไกลได้ ก่อนจะเย็นตัวลง ควบแน่น และในที่สุดก็ตกลงสู่พื้นดินในรูปของฝนหรือหิมะ
หมายถึงใคร? “อ.อ๊อด” เตรียมเอาผิด “ดีเจ” บิดาแชร์ลูกโซ่-ขบวนการดิไอคอน
ททท.อัดแคมเปญ “แอ่วเหนือคนละครึ่ง” ออกให้ 800 บาท กระตุ้นคนเที่ยวภาคเหนือ
LINE เตรียมยุติใช้งานเวอร์ชัน 12.18.0 บน iOS - Android พ.ย.นี้
การหยุดชะงักของวัฏจักรน้ำจะสร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้คนเกือบ 3 พันล้านคนที่ต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนน้ำ พืชผลกำลังเหี่ยวเฉาและเมืองต่าง ๆ กำลังจมลงเนื่องจากน้ำใต้ดินกำลังแห้งเหือด
ผลที่ตามมาจะเลวร้ายยิ่งขึ้นหากไม่ดำเนินการอย่างเร่งด่วน วิกฤติน้ำคุกคามผลผลิตอาหารทั่วโลกมากกว่า 50% และมีความเสี่ยงที่จะทำให้ GDP ของประเทศต่าง ๆ ลดลงโดยเฉลี่ย 8% ภายในปี 2050 โดยประเทศที่มีรายได้น้อยอาจสูญเสีย GDP มากถึง 15%
โยฮัน ร็อกสตรอม ประธานร่วมของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจน้ำระดับโลก และผู้เขียนรายงาน กล่าวว่า “เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษย์ที่เรากำลังผลักดันให้วัฏจักรน้ำของโลกไม่สมดุล ฝนซึ่งเป็นแหล่งที่มาของน้ำจืดทั้งหมดนั้นไม่สามารถพึ่งพาได้อีกต่อไป”
รายงานดังกล่าวได้แยกน้ำในวัฏจักรเป็น “น้ำสีน้ำเงิน” ซึ่งเป็นน้ำเหลวในทะเลสาบ แม่น้ำ และแหล่งน้ำใต้ดิน กับ “น้ำสีเขียว” ซึ่งเป็นความชื้นที่กักเก็บไว้ในดินและพืช
แม้ว่าน้ำสีเขียวจะถูกมองข้ามมานาน แต่รายงานระบุว่าน้ำสีเขียวก็มีความสำคัญต่อวัฏจักรของน้ำเช่นกัน เนื่องจากน้ำจะกลับคืนสู่ชั้นบรรยากาศเมื่อพืชปล่อยไอน้ำออกมา ซึ่งก่อให้เกิดฝนตกประมาณครึ่งหนึ่งบนพื้นดิน
รายงานระบุว่า การหยุดชะงักของวัฏจักรน้ำมีความเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การมีน้ำสีเขียวในปริมาณที่สม่ำเสมอมีความสำคัญต่อการหล่อเลี้ยงพืชพรรณที่สามารถกักเก็บคาร์บอนที่ทำให้โลกร้อนขึ้นได้ แต่ความเสียหายที่มนุษย์ก่อขึ้น เช่น การทำลายพื้นที่ชุ่มน้ำและการทำลายป่า ทำให้แหล่งดูดซับคาร์บอนเหล่านี้ลดลงและเร่งให้โลกร้อนขึ้น
ในทางกลับกัน ความร้อนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ภูมิประเทศแห้งแล้ง ลดความชื้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้
วิกฤตการณ์นี้มีความเร่งด่วนมากขึ้นเนื่องจากมีความต้องการน้ำในปริมาณมหาศาล รายงานดังกล่าวคำนวณว่า โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้คนต้องการน้ำอย่างน้อย 4,000 ลิตรต่อวันเพื่อการใช้ชีวิตที่ดี ซึ่งสูงกว่าที่สหประชาชาติระบุไว้ที่ 50-100 ลิตรสำหรับความต้องการพื้นฐาน และมากกว่าที่ภูมิภาคส่วนใหญ่สามารถจัดหาได้จากแหล่งน้ำในท้องถิ่น
ผู้เขียนรายงานระบุว่า รัฐบาลทั่วโลกต้องยอมรับว่า วัฏจักรน้ำเป็น “ผลประโยชน์ร่วมกัน” และต้องร่วมกันแก้ไขปัญหานี้ ประเทศต่าง ๆ ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน ไม่เพียงแต่ผ่านทะเลสาบและแม่น้ำที่ทอดข้ามพรมแดนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงน้ำในชั้นบรรยากาศด้วย ซึ่งหมายความว่าการตัดสินใจในประเทศหนึ่งอาจขัดขวางฝนที่ตกในอีกประเทศหนึ่งได้
รายงานยังเรียกร้องให้มีการ “ปรับเปลี่ยนระบบพื้นฐานเกี่ยวกับตำแหน่งที่น้ำอยู่ในระบบเศรษฐกิจ” รวมถึงการกำหนดราคาเพื่อป้องกันการสิ้นเปลือง และแนวโน้มที่จะปลูกพืชและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ใช้น้ำ เช่น ศูนย์ข้อมูลดาต้าเซนเตอร์ ในภูมิภาคที่ขาดแคลนน้ำ
เรียบเรียงจาก CNN