นายริชาร์ด จอห์นสัน รองผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่า "รายงานยุทธศาสตร์ด้านนิวเคลียร์ของสหรัฐ" (Nuclear Posture Review ) ฉบับปี 2022 อาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเพื่้อรักษาระดับการป้องกันประเทศจากอาวุธชนิดเดียวกัน เนื่องจากจีนและรัสเซียกำลังเพิ่มปริมาณยุทโธปกรณ์ในด้านนี้และปรับปรุงให้มีความทันสมัย
จอห์นสัน เปิดเผยว่ากระทรวงกลาโหมได้เริ่มดำเนินการยกระดับขีดความและความยืดหยุ่นด้านการป้องปรามด้วยอาวุธนิวเคลียร์ไปบ้างแล้ว
“บิ๊กเต่า” เตรียมมอบ “กุญแจมือ”เป็นของขวัญปีใหม่ให้อินฟลูฯ-นักร้อง-คนดัง เอี่ยวคดีดิไอคอน
โดยส่วนสำคัญคือการพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์แรงโน้มถ่วง B61-13 เกรวิที และเพิ่มความพร้อมให้กับเรือดำน้ำติดอาวุธนิวเคลียร์ชั้นโอไฮโอ ซึ่งสามารถติดตั้งขีปีนาวุธ "ไทรเดนท์" (Trident) ที่มีพิสัยทำการไกลถึง 12,000 กิโลเมตร
สำหรับความเห็นของ จอห์นสัน มีขึ้นหลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซียเปิดเผยว่ากฎหมายปรับเปลี่ยนหลักการใช้งานอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศได้รับการลงนามอนุมัติจากประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ภายใต้หลักการฉบับใหม่นี้ รัสเซียได้ขยายขอบเขตการใช้อาวุธนิวเคลียร์ให้รวมถึงการตอบโต้ในกรณีที่อธิปไตย หรือ ดินแดนของประเทศ รวมถึงชาติพันธมิตรอย่างเบลารุสตกเป็นเป้าหมายการโจมตีทางอากาศด้วยอาวุธรูปแบบธรรมดาไม่ว่าจะเป็นขีปนาวุธ โดรน และ เครื่องบิน
โดยข้อมูลจากสหพันธ์นักวิทยาศาสตร์อเมริกันประเมินว่ารัสเซียเป็นประเทศที่ครอบครองหัวรบนิวเคลียร์มากที่สุดในโลกด้วยจำนวน 5,580 ลูก คิดเป็นสัดส่วน 47 เปอร์เซ็นต์ของหัวรบนิวเคลียร์ทั่วโลก จำนวนนนี้มีประมาณ 1,710 ลูกที่พร้อมใช้งานได้ทันที
ส่วนสหรัฐฯมีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 5,000 ลูก และพร้อมใช้งานได้ทันที 1,670 ลูก โดยติดตั้งอยู่ในหลายประเทศของยุโรป ทั้งเยอรมนี อิตาลี เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม และ ตุรกี
ขณะที่จีนปัจจุบันคาดมีหัวรบประมาณ 500 หัว และพร้อมใช้งาน 24 ลูก แต่กระทรวงกลาโหมสหรัฐคาดว่าจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ ของจีนจะเพิ่ืมขึ้นเป็น 1,000 ลูกภายในปี 2030
- คอนเทนต์พิเศษ
สำหรับคุณ - TOP ต่างประเทศ
- วิดีโอยอดนิยม
