รายงานของสหประชาชาติระบุว่า ซีเรียมีสถานกักกันมากกว่า 100 แห่ง และยังมีคุกลับที่ไม่ทราบจำนวน โดยเชื่อว่ามีชาวซีเรียถูกจับกุมไปแล้วเกือบ 160,000 คน ระหว่างเดือน มี.ค.2011 จนถึงเดือนส.ค.ปีนี้ ในจำนวนนี้เป็นเด็กกว่า 5,000 คน และผู้หญิงกว่า 1 หมื่นคน
นอกจากนี้ ยังมีอีกจำนวนมากที่ถูกหน่วยงานความมั่นคงลักพาตัวในช่วงที่ซีเรียอยู่ใต้การปกครองของฮาเฟซ อัล-อัสซาด ผู้เป็นบิดาของบาชาร์ อัล-อัสซาด
สภาพในเรือนจำซีเรียนั้นน่ากลัวเกินกว่าจะจินตนาการได้ รัฐบาลซีเรียใช้วิธีลงโทษฝ่ายตรงข้ามหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการโบย การให้อดนอน และใช้ไฟฟ้าช็อต นักโทษทั้งชายและหญิงมักจะถูกจับแก้ผ้า ปิดตา หรือถูกข่มขืนเป็นประจำ
นอกจากนี้ ยังมีวิธีทรมาน 3 วิธีในซีเรียที่ขึ้นชื่อเรื่องความฉาวโฉ่ โดยวิธีแรกเรียกกันว่า “เก้าอี้เยอรมัน” ที่ผู้คุมเรือนจำจะจับผู้ต้องขังนั่งเก้าอี้และให้เอนหลังจนกระดูกสันหลังหัก
วิธีที่สองเรียกว่า “พรมเหาะ” ที่นักโทษจะถูกจับนอนบนแผ่นไม้ที่พับได้ จากนั้นผู้คุมจะยกแผ่นไม้ทั้งสองข้าง ทำให้เข่าของนักโทษชนกับหน้าอก จนสร้างความเจ็บปวดรุนแรงให้กับหลัง
และวิธีสุดท้าย ผู้คุมเรือนจำจะมัดนักโทษไว้กับบันไดพาด ก่อนจะผลักบันไดให้นักโทษล้มหงายหลังลงไปซ้ำๆ หลายครั้ง ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างความหวาดกลัวและทำให้ประชาชนเชื่อฟัง
รู้จักโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” พัก-ยกเว้น ดอกเบี้ย 3 ปี ครอบคลุมลูกหนี้ 1.9 ล้านราย
ภรรยา “สจ.โต้ง” รับศพสามี เผยไม่รู้ปมขัดแย้ง-วันเกิดเหตุรู้แค่ไปธุระ!
ปธน.เกาหลีใต้แถลงยืนยัน กฎอัยการศึกเป็นการปกป้องประเทศและประชาธิปไตย
ในปี 2014 ผู้ที่แปรพักตร์จากระบอบอัสซาด ซึ่งใช้ชื่อว่า “ซีซาร์” ได้หลบหนีออกจากซีเรียพร้อมกับรูปถ่ายกว่า 53,000 รูป ที่เผยให้เห็นร่างของนักโทษที่ถูกประหารหรือทรมานในเรือนจำซีเรียในสภาพพิกลพิการ
ฮิวแมนไรต์วอตช์ คาดว่า รูปถ่ายดังกล่าวเป็นหลักฐานว่ามีผู้ถูกสังหารระหว่างที่ถูกรัฐบาลคุมขังอย่างน้อยๆ 6,786 คน
หนึ่งในเรือนจำที่เลื่องชื่อเรื่องความทารุณโหดร้ายมากที่สุดคือ เรือนจำเซดนายา (Sednaya) ที่ตั้งอยู่ชานกรุงดามัสกัส สถานที่แห่งนี้เป็นคุกที่ตระกูลอัสซาดใช้คุมขังศัตรูทางการเมืองและผู้ต่อต้านมานานหลายทศวรรษ
บรรดากลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชนเรียกเรือนจำเซดนายาว่า “โรงเชือดมนุษย์” เพราะเชื่อว่ามีผู้ถูกสังหารในเรือนจำดังกล่าวมากถึง 13,000 คน นับตั้งแต่สงครามกลางเมืองของซีเรียเริ่มต้นขึ้นในปี 2011 จนถึงปี 2016
นักโทษเหล่านี้ถูกประหารด้วยการแขวนคอหมู่หรือทรมานจนเสียชีวิต ซึ่งรวมถึงการให้อดอาหาร น้ำ และยารักษาโรค จากนั้นศพจะถูกนำไปทิ้งในสุสานหมู่
แอมเนสตี อินเทอร์เนชันแนลระบุว่า การสังหารดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ จึงไม่น่าแปลกใจที่เรือนจำเซดนายาจะเป็นหนึ่งสถานที่แรกๆ ที่กองกำลังฝ่ายกบฏให้ความสำคัญขณะรุกคืบเข้ากรุงดามัสกัส
หลังจากนักรบฝ่ายกบฏโค่นล้มอัสซาดได้เมื่อวันอาทิตย์จนต้องลี้ภัยไปยังรัสเซีย ก็มีภาพนักโทษในเรือนจำเซดนายาที่ได้รับการปล่อยตัวปรากฏออกมา
ในคลิปหนึ่ง จะได้ยินเสียงคนพูดและชี้ให้มองไปที่กล้องวงจรปิดในห้องควบคุมของเรือนจำ โดยมีเสียงในพื้นหลังยืนยันวันที่และการเข้ายึดเรือนจำ
คลิปวิดีโอยังแสดงภาพของคนที่เชื่อว่าเป็นนักโทษที่ได้รับการปล่อยตัวเดินออกมานอกเรือนจำเซดนายา โดยผู้ที่ถ่ายวิดีโอบอกกับพวกเขาว่า “นี่ไม่ใช่การนิรโทษกรรม แต่มันจบแล้ว” ขณะที่ข้างหลังมีเสียงคนตะโกนว่า “ซีเรียเป็นอิสระแล้ว”
ขณะเดียวกัน ชาวซีเรียจำนวนมากได้มุ่งไปยังเรือนจำเซดนายาเพื่อตามหาคนในครอบครัวที่ถูกขังในเรือนจำแห่งนี้เมื่อวันจันทร์ หลังมีข่าวลือว่า ยังมีนักโทษหลายพันคนติดอยู่ในห้องขังใต้ดินลึกลงไปที่เรียกว่า “เขตแดง”
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าห้องขังใต้ดินที่ว่านั้นมีอยู่จริงหรือไม่ ซึ่งยิ่งทำให้เกิดความกังวลมากขึ้นว่าผู้ที่ถูกระบุว่าสูญหายอาจไม่มีวันหาเจออีกเลย
กลุ่มอาสาสมัครป้องกันภัยพลเรือนซีเรีย หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กลุ่มไวท์เฮลเมตส์” (White Helmets) ได้ส่งทีมพิเศษไปยังเรือนจำดังกล่าว โดยพวกเขาได้ทำการเจาะและทุบคอนกรีตเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
ในแถลงการณ์เมื่อช่วงเย็นวันจันทร์ กลุ่มไวท์เฮลเมตส์ ระบุว่าพวกเขาไม่พบหลักฐานใดๆ ที่บ่งชี้ถึง “ห้องขังลับหรือชั้นใต้ดินที่ยังไม่ได้ค้นพบ" หรือ "พื้นที่ใดที่ยังไม่ถูกเปิดเผยหรือซ่อนอยู่ภายในเรือนจำ" พร้อมกับยืนยันว่าการค้นหาผู้ต้องขังในเรือนจำดังกล่าวได้สิ้นสุดลงแล้ว และเรียกร้องให้ผู้คนในโซเชียลมีเดียหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่ผิด
ขณะที่สมาคมผู้ถูกคุมขังและผู้สูญหายในเรือนจำเซดนายา (ADMSP) ระบุว่าผู้ต้องขังทั้งหมดได้รับการปล่อยตัวแล้วช่วงเที่ยงวันอาทิตย์ และคำกล่าวอ้างเกี่ยวกับผู้ต้องขังที่ติดอยู่ใต้ดินนั้น "ไม่มีมูลความจริง" และ "ไม่ถูกต้อง"
มูนีร์ อัล-ฟากีร์ (Mounir Al-Fakir) อดีตผู้ต้องขังในเรือนจำเซดนายาและผู้ร่วมก่อตั้งสมาคม ADMSP บอกกับ สำนักข่าว CNN ว่าเรือนจำดังกล่าวมีชั้นใต้ดินเพียงชั้นเดียว แต่เขาไม่เชื่อว่าจะมีชั้นที่ซ่อนอยู่ลึกลงไปกว่านั้น เขาคาดว่ามีผู้ต้องขังราว 3,000 คนที่ได้รับการปล่อยตัวหลังจากการปลดปล่อยกรุงดามัสกัส
ล่าสุด นายอาบู โมฮัมเหม็ด อัล-จอลานี ผู้นำฝ่ายกบฏซีเรีย ที่ตอนนี้ใช้ชื่อจริงว่า อาเหม็ด อัล-ชารา ระบุในแถลงการณ์ผ่านแพลตฟอร์ม Telegram เมื่อวานนี้ (10 ธ.ค.) ว่า จะตามล่าอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทรมานและอาชญากรรมสงครามมาลงโทษ และจะเสนอรางวัลให้กับทุกคนที่ให้เบาะแส
ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหนึ่งวันหลังจากที่ผู้นำกบฏซีเรียเริ่มการเจรจาเกี่ยวกับการถ่ายโอนอำนาจหลังจากการโค่นล้มประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด