ภัยธรรมชาติบนโลกที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เกิดความกังวลว่าโลกอาจใกล้จะแตกหรือไม่สามารถอาศัยอยู่ต่อไปได้ในอนาคต นำไปสู่แนวคิดว่ามนุษย์จำเป็นต้องหา “ดาวดวงใหม่” หรือที่อยู่อาศัยใหม่ในการดำรงชีวิตและสืบเผ่าพันธุ์
แน่นอนว่าการจะออกไปหาดาวที่อยู่ไกลออกไปนอกระบบสุริยะดูจะเป็นความหวังอันเลือนราง ขณะที่ฐานที่มั่นบนดวงจันทร์หรือดาวอังคารอาจเป็นหลักประกันที่แน่นอนกว่า
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายสิ่งที่เราไม่รู้เกี่ยวกับการดำรงชีวิตในอวกาศ รวมถึงความสามารถในการ “สืบพันธุ์” ด้วย
ก่อนหน้านี้ ทีมวิจัยของ วากายามะ เทรุฮิโกะ ศาสตราจารย์จากศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง มหาวิทยาลัยยามานาชิ ประเทศญี่ปุ่น ได้ทดลองส่งสเปิร์มหนูที่ทำให้แห้งแบบแช่แข็ง (Freeze Dry) ไปเก็บไว้บนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) นานถึง 6 ปี แล้วดูว่าสเปิร์มนั้นสามารถให้กำเนิดลูกได้หรือไม่
พวกเขาประเมินในเบื้องต้นว่า สเปิร์มที่ทำฟรีซดรายจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานถึง 200 ปีในอวกาศ แต่วากายามะกล่าวว่า “200 ปียังนานไม่พออย่างแน่นอนสำหรับอนาคตของเรา”
ผลการศึกษาออกมาในปี 2020 พบว่า สเปิร์มที่ท่องไปในอวกาศดังกล่าวสามารถให้กำเนิดลูกหนูได้ แต่เมื่อนำลูกหนูดังกล่าวมาผสมพันธุ์กันเองต่อ พบว่าลูกที่เกิดมามีขนาดตัวเล็กลง
ตรวจหวยงวดนี้ - ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ลอตเตอรี่ 16/12/67
เงินชาวนาไร่ละ 1000 บาท เช็กวันโอนเงินเข้าบัญชี กลุ่มแรก
11 อาหารช่วยคลายเครียด กระตุ้นสารความสุข เสริมวิตามินลดความเมื่อยล้า
ผลลัพธ์ดังกล่าวทำให้ทีมวิจัยคาดว่า สภาวะในอวกาศอาจมีผลกระทบต่อเซลล์สืบพันธุ์หรือความสามารถในการสืบพันธุ์ของหนูไม่มากก็น้อย
วากายามะจึงทดลองอีกครั้ง ด้วยการส่งสเปิร์มของหนูที่ทำฟรีซดรายไปเก็บไว้บน ISS อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ใส่ไว้ในกล่องป้องกันรังสีด้วย เพื่อทำความเข้าใจความสามารถในการสืบพันธุ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในสภาวะนอกโลก
ตัวอย่างสเปิร์มหนูชุดใหม่นี้จะกลับสู่โลกในปี 2025 และวากายามะจะพิจารณาว่า สเปิร์มนี้จะให้กำเนิดลูกหลานที่แข็งแรงได้หรือไม่
เขาหวังว่าเครื่องมือใหม่เพื่อปกป้องสเปิร์มที่เก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องจากรังสี อาจจะทำให้สามารถเก็บตัวอย่างสเปิร์มไว้ในอวกาศได้แบบไม่มีกำหนด
ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ทราบอยู่แล้วว่า การเดินทางในอวกาศสามารถสร้างความเสียหายหรือผลกระทบให้กับร่างกายมนุษย์ได้ รังสีคอสมิกสามารถทำให้เกิดการกลายพันธุ์ใน DNA ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งและทำให้เกิดโรคอื่น ๆ สภาวะไร้น้ำหนักสามารถทำให้เกิดปัญหาการมองเห็น ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง และการสูญเสียกล้ามเนื้อและกระดูก
แต่ผลกระทบต่อการสืบพันธุ์ของมนุษย์นั้นยังไม่ชัดเจน วากายามะจึงเชื่อว่างานของเขาจะมีความสำคัญ เนื่องจากมนุษย์ใช้เวลาในอวกาศมากขึ้น ตัวอย่างเช่น DNA ที่เสียหายในอสุจิและไข่อาจถ่ายทอดความผิดปกติทางพันธุกรรมให้กับรุ่นต่อไปได้
และหากไม่มีแรงดึงดูดของแรงโน้มถ่วงโลก ตัวอ่อนที่ได้รับการผสมพันธุ์ก็อาจไม่สามารถเจริญเติบโตได้อย่างเหมาะสม “การก่อตัวของระบบประสาทและการพัฒนาของแขนขา... เราไม่ทราบว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสมในสภาวะไร้น้ำหนัก ซึ่งไม่มีทิศทางขึ้นหรือลง”
เขาเสริมว่างานนี้สามารถทำซ้ำและต่อยอดไปศึกษาต่อในสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นได้ ซึ่งอาจมีประโยชน์ในการขนส่งสัตว์ เช่น สุนัข และปศุสัตว์ เช่น วัว ไปยังดาวเคราะห์ดวงอื่น
ขณะเดียวกัน วากายามะกำลังพัฒนาอุปกรณ์ที่จะช่วยให้นักบินอวกาศทำการปฏิสนธิในหลอดแก้ว (IVF) บนสถานีอวกาศนานาชาติได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เขาบอกว่าในท้ายที่สุด การทดลองนี้อาจช่วยชีวิตมนุษยชาติได้
“เป้าหมายของเราคือการสร้างระบบสำหรับรักษาทรัพยากรทางพันธุกรรมของโลกอย่างปลอดภัยและถาวรในที่ใดที่หนึ่งในอวกาศ ไม่ว่าจะบนดวงจันทร์หรือที่อื่น เพื่อให้เรายังสามารถให้กำเนิดชีวิตใหม่ได้ แม้ว่าโลกจะเผชิญกับการทำลายล้างครั้งใหญ่ก็ตาม” วากายามะกล่าว
โปรเจ็กต์ IVF ของเขาได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานอวกาศของญี่ปุ่นแล้ว แต่เครื่องมือที่จะใช้ในการทำ IVF ให้เสร็จสมบูรณ์นั้นยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา เขาหวังว่ามันจะพร้อมสำหรับการส่งไปยังสถานีอวกาศนานาชาติภายใน 2 ปี
“ในภาพยนตร์หรือนิยายวิทยาศาสตร์ ผู้คนอาศัยอยู่บนดาวเคราะห์ดวงอื่นและมีทารกเกิดขึ้น แต่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นไปได้หรือไม่” เขากล่าว
เขาหวังว่าการทดลองของเขาจะช่วยไขข้อข้องใจว่ามนุษย์สามารถสืบพันธุ์และพัฒนาตัวเองได้ตามปกติในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายของอวกาศหรือไม่ “หากเราสามารถยืนยันได้ ก็จะทำให้สบายใจขึ้น และหากไม่สำเร็จ เราก็ต้องหาวิธีรับมือกับความท้าทายนั้น”
เรียบเรียงจาก CNN