ช่วงปี 2020-2022 รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ เผชิญภัยแล้งรุนแรง ปีต่อมา แคลิฟอร์เนียมีปริมาณน้ำฝนทำลายสถิติในช่วงฤดูหนาวของปี 2022-23 ทำให้เมืองบนภูเขาถูกหิมะกลบ น้ำท่วมหุบเขาจากฝนและหิมะละลาย และทำให้เกิดดินถล่มหลายร้อยแห่ง
จากนั้นในปี 2024 แคลิฟอร์เนียเจอฤดูร้อนที่ร้อนเป็นประวัติการณ์ ก่อนที่ปี 2025 จะเริ่มต้นด้วยความแห้งแล้งที่นำไปสู่การเกิดไฟป่าครั้งใหญ่ในลอสแอนเจลิส
นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า “Hydroclimate Whiplash” หรือสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากฝนตกหนักเป็นสภาพอากาศที่แห้งแล้งจนเป็นอันตราย จะเรียกว่าเป็น “สภาพอากาศเหวี่ยง” ก็ได้
ความน่ากังวลคือ สภาพอากาศแบบนี้กำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลก
แดเนียล สเวน นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส (UCLA) กล่าวว่า “หลักฐานแสดงให้เห็นว่า สภาพอากาศแปรปรวนแบบเหวี่ยงได้เพิ่มขึ้นเนื่องมาจากภาวะโลกร้อน และภาวะโลกร้อนที่เพิ่มมากขึ้นจะส่งผลให้ความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้เพิ่มขึ้นอีก”
เขาเสริมว่า “สภาพอากาศเหวี่ยงในแคลิฟอร์เนียทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ประการแรกคือ สภาพอากาศแบบนี้ทำให้หญ้าและพุ่มไม้ที่ติดไฟได้เติบโตมากขึ้นอย่างมากในช่วงหลายเดือนก่อนถึงฤดูไฟไหม้ จากนั้นจึงทำให้พื้นที่แห้งแล้งและอบอุ่นขึ้นจนถึงระดับสูงผิดปกติ”
ทีมนักวิจัยด้านสภาพอากาศระหว่างประเทศพบว่า สภาพอากาศเหวี่ยงได้เพิ่มขึ้น 31% ถึง 66% ทั่วโลกตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20
วิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศทำให้อัตราการเกิดสภาพอากาศเหวี่ยงเพิ่มขึ้น โดยแบบจำลองคาดการณ์ว่า สภาพอากาศเหวี่ยงจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าหากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 3 องศาเซลเซียสเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม
นักวิทยาศาสตร์บอกว่า วิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลกกำลังทำให้ “ฟองน้ำในชั้นบรรยากาศ” (Atmospheric Sponge) เกิดการขยายตัว
ฟองน้ำในชั้นบรรยากาศคือความสามารถของชั้นบรรยากาศในการดูดซับและปลดปล่อยน้ำ โดยเมื่อฟองน้ำนี้ขยายตัว แปล่ามันจะอมน้ำมากขึ้น และเมื่อถึงเวลาคายน้ำ มันก็จะปลดปล่อยน้ำออกมาในปริมาณมหาศาล ในขณะเดียวกัน ชั้นบรรยากาศที่อมน้ำมากขึ้นก็จะมีความต้องการน้ำมากขึ้น ทำให้เกิดการดึงน้ำออกจากพืชและดินมากขึ้น กลายเป็นภาวะแล้งรุนแรง
สเวนกล่าวว่า “ผลกระทบจากการขยายตัวของฟองน้ำในชั้นบรรยากาศอาจเป็นคำอธิบายสำหรับผลกระทบที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุดบางประการของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งดูเหมือนจะเร่งตัวขึ้นในช่วงไม่นานมานี้”
จากการศึกษาพบว่า สภาพอากาศเหวี่ยงจะเพิ่มขึ้นมากที่สุดในแอฟริกาตอนเหนือ ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ ยูเรเซียตอนเหนือ แปซิฟิกเขตร้อน และแอตแลนติกเขตร้อน แต่ภูมิภาคอื่น ๆ ส่วนใหญ่ก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน
“สภาพอากาศเหวี่ยงที่เพิ่มขึ้นอาจกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงระดับโลกครั้งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งบนโลกที่กำลังร้อนขึ้นนี้” สเวนกล่าว
เขาบอกอีกว่า “ยิ่งโลกร้อนน้อยลงเท่าไร การเพิ่มขึ้นของสภาพอากาศเหวี่ยงก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น ... อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน เรายังอยู่บนเส้นทางที่จะเผชิญกับภาวะที่โลกร้อนเพิ่มขึ้น 2-3 องศาเซลเซียสในศตวรรษนี้ ดังนั้น สภาพอากาศเหวี่ยงจึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต และเราจำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ในการประเมินความเสี่ยงและการปรับตัว”
เรียบเรียงจาก Science Daily