สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีประชาชนตกเป็นเหยื่อของแก๊งมิจฉาชีพหลอกโอนเงินอยู่บ่อยครั้ง จนต้องออกกฎหมายเพื่อให้ธนาคารและค่ายโทศัพท์มือถือมีส่วนรับผิดชอบหากมีเหยื่อถูกหลอก
ล่าสุดสิงคโปร์ออกกฎหมายใหม่เพิ่ม ซึ่งจะช่วยเหลือเหยื่อไม่ให้โอนเงินไปให้กับมิจฉาชีพ ด้วยมาตรการที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือ “อายัดบัญชีธนาคารของผู้ที่กำลังต้องสงสัยว่าจะตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ”
รัฐสภาสิงคโปร์ได้ผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้เมื่อต้นเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย สามารถสั่งให้ธนาคารระงับธุรกรรมของบุคคลได้ หากมีเหตุผลที่จะเชื่อว่าบุคคลนั้นตั้งใจจะโอนเงิน ถอนเงิน หรือใช้สินเชื่อเพื่อประโยชน์ของมิจฉาชีพ
โดยประชาชนเจ้าของบัญชียังคงสามารถใช้บัญชีนั้นในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้
ตำรวจสิงคโปร์กล่าวว่า การพยายามโน้มน้าวเหยื่อให้เชื่อว่ากำลังถูกหลอกลวงเป็นความท้าทายอย่างมาก แม้จะมีการรณรงค์ต่อต้านการหลอกลวงมากมาย ทั้งพยายามให้ความรู้ และนำฟีเจอร์ต่าง ๆ มาใช้ แต่จำนวนคนนที่ถูกหลอกโอนเงินยังคงสูงอยู่ดี
ตำรวจสิงคโปร์พบว่า การหลอกโอนเงินที่เกิดขึ้นระหว่างเดือน ม.ค. – ก.ย. 2024 มีถึง 86% ที่เกี่ยวข้องกับ “การโอนเงินโดยสมัครใจ” ผ่านกลวิธีทั่ว ๆ ไปที่เราคุ้นเคยกันดี โดยเฉพาะการปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และการหลอกให้รัก ซึ่งดูจะได้ผลเป็นพิเศษ
ซุน เสวี่ยหลิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและการพัฒนาสังคมและครอบครัวของสิงคโปร์ กล่าวว่า “ร่างกฎหมายฉบับนี้จะช่วยให้ตำรวจสามารถดำเนินการอย่างเด็ดขาดและปิดช่องว่างในคลังอาวุธของเราในการต่อต้านผู้หลอกลวง”
แม้ว่ากฎหมายดังกล่าวจะได้รับการยกย่องจากผู้สนับสนุนว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการปราบปรามการฉ้อโกงที่แพร่หลาย แต่กฎหมายดังกล่าวได้ก่อให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับความกังวลว่ารัฐบาลสิงคโปร์อาจแทรกแซงเรื่องส่วนตัวของประชาชน
นักวิจารณ์มองว่า กฎหมายดังกล่าวเป็นการขยายการปกครองแบบเผด็จการที่ผู้ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์ผู้ล่วงลับอย่าง ลี กวนยู เคยใช้ ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยอ้างว่า ความสำเร็จทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์เป็นไปได้เพราะการแทรกแซงในเรื่องส่วนตัว เช่น “เพื่อนบ้านของคุณคือใคร คุณใช้ชีวิตอย่างไร คุณส่งเสียงดังอย่างไร คุณถ่มน้ำลายอย่างไร”
ก่อนที่ร่างกฎหมายจะผ่าน จามุส ลิม สมาชิกรัฐสภาจากพรรคแรงงาน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านขนาดเล็ก แสดงความกังวลเกี่ยวกับลักษณะที่ก้าวก่ายของกฎหมาย โดยแนะนำให้ปรับรายลัเอียด ให้บุคคลสามารถเลือกไม่รับการคุ้มครองหรือแต่งตั้งสมาชิกในครอบครัวที่ไว้วางใจได้เป็นผู้ดูแลบัญชีแทน
“บางคนอาจรู้สึกไม่สบายใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวิธีที่ร่างกฎหมายให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายในการแทรกแซงและจำกัดสิ่งที่ถือเป็นธุรกรรมส่วนตัว” ลิมกล่าว
ยูจีน แทน รองศาสตราจารย์จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยการจัดการสิงคโปร์ (SMU) กล่าวว่า การสูญเสียที่เพิ่มขึ้นจากการฉ้อโกงได้กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ “”แนวทางเชิงป้องกัน” ที่เน้นไปที่การป้องกันการฉ้อโกงก่อนที่จะเกิดขึ้น
“หากไม่มีการดำเนินการเพิ่มเติมอย่างเร่งด่วนและเข้มแข็ง เราก็คงไม่พ้นจากหายนะ รัฐบาลตระหนักถึงต้นทุนทางสังคม และจะละเลยหน้าที่ของตนเองหากไม่จัดการกับวิกฤตที่ใกล้จะเกิดขึ้น” แทนกล่าว
ด้านผู้สนับสนุนกฎหมายดังกล่าวบอกว่า กฎหมายดังกล่าวมีขอบเขตที่ชัดเจน กฎหมายระบุว่า คำสั่งอายัดบัญชีจะเป็นทางเลือกสุดท้ายเท่านั้น หากความพยายามอื่น ๆ ทั้งหมดในการโน้มน้าวเหยื่อไม่ให้โอนเงินให้มิจฉาชีพนั้นล้มเหลว
บุคคลยังมีสิทธิ์อุทธรณ์คำสั่งอายัด ซึ่งในเบื้องต้นจะมีระยะเวลา 30 วันและสามารถขยายเวลาได้สูงสุด 5 ครั้ง
ยิป ฮอนเหว่ง สมาชิกรัฐสภาจากพรรค People’s Action Party ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล กล่าวว่า การขยายอำนาจของตำรวจเป็นการตอบสนองที่จำเป็นต่อปัญหาการฉ้อโกงหลอกลวงที่เพิ่มมากขึ้น
“ความสามารถในการดำเนินการอย่างรวดเร็วนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับเหยื่อที่ตกเป็นเป้าหมายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เนื่องจากช่วยป้องกันการสูญเสียทางการเงินเพิ่มเติมในช่วงเวลาสำคัญ” ยิปกล่าว
เขาเสริมว่า “การจำกัดการเข้าถึงบัญชีชั่วคราวเป็นขั้นตอนที่รุนแรงแต่สามารถช่วยให้บุคคลต่าง ๆ รอดพ้นจากความหายนะทางการเงินได้ อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวต้องใช้ด้วยความระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายความไว้วางใจของสาธารณะ”
ยิปกล่าวว่า “การก้าวก่ายในการจำกัดการเข้าถึงบัญชีชั่วคราว จำเป็นต้องมีความสมดุลที่ละเอียดอ่อน ระหว่างการปกป้องอำนาจส่วนบุคคลและการนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง”
ทั้งนี้ แม้ว่ากฎหมายจะเหมาะสมกับบริบททางการเมืองของสิงคโปร์ แต่มาตรการดังกล่าวอาจไม่สามารถนำมาใช้ได้ง่ายนักในบริบทระดับโลก โดยเฉพาะในประเทศที่ความไว้วางใจในรัฐบาลต่ำเป็นทุนเดิม
เรียบเรียงจาก Al Jazeera