8 ปีก่อน พื้นที่ของรัฐกะเหรี่ยงซึ่งมีชายแดนติดกับประเทศไทยเป็นเพียงพื้นที่รกครึ้มที่มีแต่ป่า แต่ปัจจุบัน กลับมีเมือง ๆ หนึ่งผุดขึ้นและยังคงขยายตัวด้วยความรวดเร็วราวกับทั้งหมดเป็นเพียงภาพมายา นั่นคือ “ชเวก๊กโก” ซึ่งมีความหมายว่า “ป่าจามจุรีทอง”
เมืองแห่งนี้ถูกกล่าวขานว่าเป็นนครแห่งการหลอกลวง เป็นศูนย์กลางของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การฟอกเงิน และการค้ามนุษย์
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการสร้างชเวก๊กโกคือ “เสอ จื้อเจียง” (佘智江) เจ้าของบริษัท ย่าไท่ (Yatai International Holding Group) ซึ่งปัจจุบันถูกจำคุกอยู่ในประเทศไทย และกำลังรอถูกส่งตัวไปจีน
แต่สิ่งที่ เสอ จื้อเจียง และบริษัทย่าไท่พยายามสื่อสารมาตลอดกลับเป็นคนละเรื่องกับภาพลักษณ์ของเมือง โดยบอกว่านี่คือเมืองตากอากาศ จุดหมายปลายทางการพักผ่อนที่ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีน และสวรรค์สำหรับเหล่าเศรษฐี
แล้วเนื้อแท้ของเมืองชายแดนแห่งนี้เป็นอย่างไรกันแน่ เรื่องนี้อาจมีคำตอบ เพราะบริษัทย่าไท่ได้เชิญสำนักข่าว BBC เข้าไปล้วงลึกความเป็นไปในชเวก๊กโก
ผู้สื่อข่าว BBC บอกว่า การเข้าไปในชเวก๊กโกมีความยุ่งยาก เพราะตั้งแต่เริ่มก่อสร้างเมืองในปี 2017 ที่นี่กลายเป็นสถานที่ต้องห้ามและไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวทั่วไปเข้า
ประกอบกับเมื่อสงครามกลางเมืองในเมียนมาทวีความรุนแรงขึ้นหลังการรัฐประหารในปี 2021 การเข้าถึงจึงยากขึ้นกว่าเดิม การเดินทางจากศูนย์กลางทางการค้าของประเทศอย่างย่างกุ้งต้องใช้เวลา 3 วัน โดยต้องผ่านจุดตรวจหลายจุด ถนนบางสายถูกปิด และมีความเสี่ยงสูงที่จะเจอเหตุการณ์ปะทะกัน
ส่วนการข้ามจากประเทศไทยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที แต่ต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อหลีกเลี่ยงเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนของตำรวจและกองทัพไทย
คนที่นำทางให้นักข่าว BBC คือ หวัง ฝูกุ่ย อดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกวางสี ทางตอนใต้ของจีน ซึ่งเคยถูกจำคุกในประเทศไทยจากคดีฉ้อโกง และได้รู้จักกับ เสอ จื้อเจียง จนกลายเป็นหนึ่งในผู้ช่วยที่เขาไว้วางใจมากที่สุด
หวังเล่าถึงถนนที่ปูใหม่ วิลล่าหรูหรา ต้นไม้จำนวนมาก โดยบอกว่า “คุณเสอเชื่อมั่นในการสร้างเมืองสีเขียว”
เมื่อมองเผิน ๆ ชเวก๊กโกดูเหมือนเมืองเล็ก ๆ ในประเทศจีน ป้ายบอกทาง ชื่ออาคารต่าง ๆ เขียนด้วยอักษรจีน และมีขบวนรถก่อสร้างที่ผลิตในจีนแล่นไปมาระหว่างไซต์ก่อสร้างตลอดเวลา
หวังไม่ค่อยพูดถึงผู้เช่าในอาคารทุกหลังเท่าไรนัก บอกเพียงว่าเป็น “คนรวยจากหลายประเทศมาเช่าวิลล่า” เมื่อถามถึงธุรกิจ เขาบอกว่า “มีธุรกิจมากมาย โรงแรม กาสิโน”
ขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่ที่นักข่าว BBC เห็นคือชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่ที่เข้ามาในชเวก๊กโกทุกวันเพื่อทำงาน โดยเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ “ควรจะเป็นลูกค้า” ของโรงแรมและกาสิโนเพียงไม่กี่คน
หวังบอกว่า ไม่มีการฉ้อโกงในชเวก๊กโกอีกต่อไปแล้ว พวกเขาได้ติดป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ทั่วเมืองเพื่อประกาศว่า ไม่อนุญาตมีการบังคับใช้แรงงานโดยมิชอบ และ “ธุรกิจออนไลน์ควรออกไป” แต่ชาวบ้านในท้องถิ่นแอบบอกนักข่าว BBC ว่าธุรกิจหลอกลวงหรือสแกมเมอร์ยังคงดำเนินอยู่
สแกมเมอร์ได้เติบโตเป็นธุรกิจมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ใช้คนงานหลายพันคนจากจีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกา และอนุทวีปอินเดีย ซึ่งถูกกักขังอยู่ในกำแพงปิดล้อม ทำหน้าที่หลอกลวงผู้คนทั่วโลกให้หลงเชื่อและเสียเงินที่เก็บหอมรอมริบมา
บางคนทำงานที่นั่นโดยเต็มใจ แต่บางคนถูกจับตัวไปและถูกบังคับให้ทำงาน ผู้ที่หลบหนีออกมาได้เล่าเรื่องราวที่น่าสยดสยองเกี่ยวกับการทรมานและการทุบตี
2-3 สัปดาห์ก่อนเดินทางไปชเวก๊กโก นักข่าว BBC ได้มีโอกาสพูดคุยกับหญิงสาวคนหนึ่งที่เคยทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เธอไม่ได้สนุกกับงานนี้และได้รับอนุญาตให้ออกมาได้
เธอเล่าว่า งานของเธอคือเป็นส่วนหนึ่งของทีมนางแบบ ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยหญิงสาวสวยที่ติดต่อกับคนที่มีแนวโน้มจะตกเป็นเหยื่อ และพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดทางออนไลน์
เธอเล่าว่า “เป้าหมายคือผู้สูงอายุ เราจะเริ่มการสนทนาแบบว่า ‘คุณดูเหมือนเพื่อนของฉันคนหนึ่งเลย’ เมื่อคุณได้เพื่อนแล้ว คุณก็ให้กำลังใจพวกเขาโดยส่งรูปของคุณมาให้ บางครั้งก็ใส่ชุดนอน”
จากนั้น เธออธิบายว่าการสนทนาจะเปลี่ยนไปเป็นเรื่องของแผนการรวยทางลัด เช่น การลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล โดยอ้างว่านั่นเป็นวิธีที่พวกเธอทำเงินได้มากมาย
เธอเล่าว่า “เมื่อพวกเขารู้สึกใกล้ชิดกับคุณ คุณก็ส่งต่อพวกเขาไปยังส่วนการสนทนา คนที่สนทนาจะยังคงส่งข้อความหาลูกค้าต่อไป เพื่อโน้มน้าวให้พวกเขาซื้อหุ้นในบริษัทสกุลเงินดิจิทัล”
ระหว่างที่นักข่าว BBC อยู่ที่ชเวก๊กโกเป็นเวลาสั้น ๆ พวกเขาได้รับอนุญาตให้ดูเฉพาะส่วนที่บริษัทย่าไท่อยากให้เห็นเท่านั้น ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ชัดว่า “การฉ้อโกงยังไม่หยุดลง และยังคงเป็นธุรกิจหลักในเมืองนี้ต่อไป”
บริษัทย่าไท่ปฏิเสธคำขอของนักข่าวที่จะเข้าไปดูภายในอาคารสำนักงานที่เพิ่งสร้างใหม่ โดยบอกว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่มาจากกองกำลังติดอาวุธคอย “คุ้มกัน” นักข่าวตลอดเวลา นักข่าวได้รับอนุญาตให้ถ่ายวิดีโอการก่อสร้างและภายนอกอาคาร ห้ามเข้าไปข้างใน แต่นักข่าวสังเกตเห็นว่าหน้าต่างหลายบานมีลูกกรงเหล็กติดอยู่
หญิงสาวที่เคยทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์บอกว่า “ทุกคนในชเวก๊กโกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น”
เธอปฏิเสธคำกล่าวอ้างของย่าไท่ที่บอกว่าไม่อนุญาตให้มีศูนย์หลอกลวงในชเวก๊กโกอีกต่อไป “นั่นเป็นเรื่องโกหก ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่รู้เรื่องนี้ ทั้งเมืองกำลังทำแบบนั้นในตึกสูงเหล่านั้น ไม่มีใครไปที่นั่นเพื่อความสนุก ไม่มีทางที่พวกย่าไท่จะไม่รู้”
ในที่สุดนักข่าว BBC ก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปชมกาสิโนแห่งหนึ่งในชเวก๊กโก ซึ่งดำเนินการโดยชาวออสเตรเลีย เขาบอกนักข่าวว่ากาสิโนแห่งนี้กำลังจะปิดตัวลง
ลูกค้ามีเพียงชาวกะเหรี่ยงในท้องถิ่นเท่านั้นที่เล่นเกมยอดนิยมประเภทตู้เกมซึ่ง โดยนักข่าวถูกห้ามไม่ให้ทำหารสัมภาษณ์ใด ๆ ห้องด้านหลังซึ่งมีโต๊ะไพ่และรูเล็ตว่างเปล่า
ผู้จัดการชาวออสเตรเลียบอกว่า กาสิโนแห่งนี้สร้างเมื่อหกปีก่อน เคยเป็นที่นิยมและทำกำไรได้มากในช่วงที่ยังมีกาสิโนอยู่เพียง 1-2 แห่งก่อนสงครามกลางเมืองในเมียนมาจะอุบัติขึ้น แต่ในปัจจุบันนี้ มีกาสิโนอย่างน้อย 9 แห่งที่เปิดดำเนินการ แต่ไม่มีลูกค้ามากพอ
ผู้จัดการบอกว่า แหล่งเงินจริง ๆ อยู่ที่การพนันออนไลน์ ซึ่งเขาบอกว่าเป็นธุรกิจหลักของชเวก๊กโก
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะรู้ว่าทำเงินได้เท่าไรจากการพนันออนไลน์ และทำได้เท่าไรจากกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่น การฟอกเงินและการฉ้อโกง โดยปกติแล้ว การพนันออนไลน์เหล่านี้จะดำเนินการในสถานที่เดียวกันและโดยทีมเดียวกัน
เมื่อนักข่าว BBC ถามย่าไท่ว่าพวกเขาทำเงินได้เท่าไร พวกเขาไม่ยอมบอกแม้แต่ตัวเลขคร่าว ๆ พวกเขาบอกว่า บริษัทจดทะเบียนในฮ่องกง เมียนมา และไทย แต่บริษัทเหล่านี้เป็นเพียงบริษัทเปล่า (shell company) เท่านั้น โดยมีรายได้หรือรายรับที่ส่งผ่านบริษัทเพียงเล็กน้อย
BBC ปฏิเสธข้อเสนอของย่าไท่ที่ชวนให้เข้าชมสนามโกคาร์ต สวนน้ำ และฟาร์มจำลองที่พวกเขาสร้างขึ้น นักข่าวได้แวบไปเห็นกาสิโนอีกแห่งหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะว่างเปล่าไร้ผู้คน ขณะที่ถูกพาไปทานอาหารเช้าในโรงแรมหรูของนย่าไท่
สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นเพียงแห่งเดียวที่ BBC ได้รับอนุญาตให้เข้าชมคือคลับคาราโอเกะ ซึ่งมีห้องส่วนตัวที่น่าตื่นตาตื่นใจ มีโดมขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยจอภาพดิจิทัล มีปลาเขตร้อนและฉลามขนาดใหญ่ว่ายน้ำอยู่เต็มไปหมด และมีการฉายวิดีโอวนลูปซึ่งมีเนื้อหายกย่องวิสัยทัศน์และคุณธรรมของ เสอ จื้อเจียง
คลับแห่งนี้ดูเหมือนจะร้างผู้คนเช่นกัน ยกเว้นสาวจีนบางคนที่ทำงานที่นั่น พวกเธอสวมหน้ากากโอเปร่าเพื่อหลีกเลี่ยงการระบุตัวตน และเต้นรำอย่างไม่กระตือรือร้นตามจังหวะดนตรีเป็นเวลา 2-3 นาที ก่อนจะยอมแพ้และนั่งลง โดยนักข่าวไม่ได้รับอนุญาตให้สัมภาษณ์พวกเธอเช่นกัน
นักข่าว BBC ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกับพนักงานชาวกะเหรี่ยงในท้องถิ่นเท่านั้น แต่เธอรู้สึกหวาดกลัวกับเรื่องนี้มากจนนักข่าวแทบไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากชื่อของเธอ
นักข่าวยังมีโอกาสได้พบกับ “ผู้สำเร็จราชการ” แทน เสอ จื้อเจียง นั่นคือ “เหอ หยิงเซียง” อายุ 31 ปี ทำหน้าที่บริหารชเวก๊กโก เขาอาศัยอยู่กับ หวัง ฝูกุ้ย ในวิลล่าที่พวกเขาสร้างขึ้นริมฝั่งแม่น้ำเมย ซึ่งมองเห็นวิวประเทศไทย และมีบอดี้การ์ดชาวจีนจำนวนมากคอยเฝ้าดูแล ที่นั่นพวกเขาเล่นไพ่นกกระจอก กินอาหารและเครื่องดื่มชั้นเลิศ และคอยจับตาดูธุรกิจ
เหอให้คำอธิบายที่ต่างจากเจ้านายของเขาเล็กน้อยเกี่ยวกับแก๊งมิจฉาชีพ โดยบอกว่า “พวกเราเป็นเพียงผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผมรับรองได้ว่าเรื่องแบบนี้ (การฉ้อโกงหลอกลวง) จะไม่เกิดขึ้นที่นี่ แต่ถึงจะเกิดขึ้น ชาวบ้านก็มีระบบกฎหมายของตัวเอง ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะจัดการกับเรื่องนี้ หน้าที่ของเราคือการจัดหาโครงสร้างพื้นฐานที่ดี อาคารที่ดี และสนับสนุนอุตสาหกรรมต่าง ๆ”
แต่ไม่มีระบบกฎหมายในพื้นที่นี้ของเมียนมา และไม่มีรัฐบาลใดเลยที่คอยดูแล ชเวก๊กโกอยู่ภายใต้การปกครองของกลุ่มติดอาวุธซึ่งควบคุมพื้นที่ต่าง ๆ ตามแนวชายแดนไทย ผู้บัญชาการของกลุ่มจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าใครสามารถสร้างหรือดำเนินธุรกิจได้ โดยจะนำ “ส่วนแบ่งรายได้” ไปช่วยเหลือในการระดมทุนในการทำสงครามกับกองทัพเมียนมาหรือรบกันเอง
นักข่าว BBC ทิ้งท้ายว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับชเวก๊กโกต่อไปนั้นเป็นสิ่งที่ยากที่จะคาดเดา แต่หากรัฐบาลไทยและจีนยังคงดำเนินการอย่างแข็งขันเพื่อปราบแงสแกมเมอร์เหล่านี้ เงินทุนของมิจฉาชีพเหล่านี้ก็จะเริ่มหมดลง
เรียบเรียงจาก BBC