งานวิจัยใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature เมื่อวันที่ 19 ก.พ. ที่ผ่านมา ได้แสดงผลลัพธ์การประเมินสถานการณ์ธารน้ำแข็งทั่วโลกเป็นครั้งแรก
โดยนักวิจัยพบว่า ธารน้ำแข็งทั่วทั้งโลกสูญเสียปริมาตรไปประมาณ 5% นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา โดยมีความแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค ตั้งแต่ 2% ในแอนตาร์กติกาไปจนถึง 40% ในเทือกเขาแอลป์ของยุโรป
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า โดยเฉลี่ยแล้ว ธารน้ำแข็งจะสูญเสียน้ำแข็งไปประมาณ 2.73 แสนล้านตันต่อปี เทียบเท่ากับน้ำในสระว่ายน้ำโอลิมปิก 3 สระต่อวินาที!
หากไม่นับแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์และแอนตาร์กติก ธารน้ำแข็งทั่วโลกมีน้ำแข็งอยู่ประมาณ 134 ล้านล้านตันในปี 2000 แต่ในปี 2023 ตัวเลขดังกล่าวลดลงเหลือประมาณ 127 ล้านล้านตัน
ผลการประเมินยับพบว่า การละลายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยน้ำแข็งที่ละลายในช่วงปี 2012-2023 เพิ่มขึ้นประมาณ 36% เมื่อเทียบกับการละลายช่วงปี 2000-2011
นั่นหมายความว่า การละลายของธารน้ำแข็งอาจเร็วขึ้นกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ และทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคิด
นักวิจัยระบุว่า ปริมาณน้ำแข็งที่ละลายจากธารน้ำแข็งในช่วงที่ทำการศึกษา (2000-2023) ทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้น 0.7 นิ้ว (18 มิลลิเมตร) ซึ่งมากกว่าระดับน้ำทะเลที่เกิดจากการละลายของแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ตั้งแต่ทศวรรษ 1990 ถึง 0.1 นิ้ว
ไมเคิล เซมป์ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยซูริก หนึ่งในทีมวิจัย กล่าวว่า ผลการค้นพบนี้น่าตกใจ “เราคาดว่าจะพบว่าธารน้ำแข็งละลาย แต่ปริมาณน้ำแข็งที่สูญเสียไปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้น่าตกใจแม้กระทั่งสำหรับนักวิทยาศาสตร์อย่างเรา”
เขาชี้ว่า ภูมิภาคที่มีธารน้ำแข็งขนาดเล็กกว่าจะสูญเสียน้ำแข็งเร็วขึ้น และธารน้ำแข็งหลายแห่ง “จะไม่สามารถอยู่รอดได้ในศตวรรษนี้”
เซมป์กล่าวว่า “ดังนั้น ระดับน้ำทะเลจึงอาจสูงขึ้นในสิ้นศตวรรษนี้มากกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้” และเสริมว่า การสูญเสียธารน้ำแข็งจะส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำจืด โดยเฉพาะในเอเชียกลางและเทือกเขาแอนดีสตอนกลาง
สำหรับการศึกษาครั้งนี้ นักวิจัยรวบรวมข้อมูลดาวเทียมและการวัดโดยตรงของภูมิภาคธารน้ำแข็งทุกแห่งในโลก ยกเว้นแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกา ซึ่งทั้งสองแห่งมีขนาดใหญ่มากจนตอบสนองต่อภาวะโลกร้อนได้ล่าช้า
นักวิทยาศาสตร์รวบรวมและแปลงชุดข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธารน้ำแข็งหลายร้อยชุดเป็นอนุกรมเวลาเพื่อวิเคราะห์เพื่อสร้างภาพรวมว่าธารน้ำแข็งเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรตามกาลเวลา
อ่านงานวิจัยฉบับเต็ม ที่นี่
เรียบเรียงจาก Al Jazeera / Live Science