ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศเดินหน้าเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ในอัตรา 25% ลั่นหมดโอกาสขอเจรจาหลบเลี่ยงอีกแล้ว
หลังจากเดือนที่แล้ว ทรัมป์ประกาศตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้าสำคัญ อย่าง แคนาดา และเม็กซิโก โดยอ้างว่า ประเทศเพื่อนบ้านทั้งสองล้มเหลวในการจัดการกับผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย และปัญหายาเสพติด ก่อนจะมีการพักคำสั่งไว้เป็นเวลา 1 เดือน เพื่อรอการเจรจาเพิ่มเติม
ล่าสุด ทรัมป์ออกมาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า มาตรการกำแพงภาษีที่จะใช้กับแคนาดา และเม็กซิโก จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันอังคารนี้ (4 มี.ค.) ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ เพราะตอนนี้ ไม่มีโอกาสแล้วที่ทั้ง 2 ประเทศจะได้เจรจาเพิ่มเติม เพื่อให้รอดพ้นมาตรการนี้
แต่ที่สำคัญมากคือ พรุ่งนี้ ภาษีนำเข้า 25% สำหรับแคนาดาและ 25% สำหรับเม็กซิโก จะเริ่มขึ้น พวกเขาจะต้องจ่ายภาษี ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาต้องทำคือสร้างโรงงานผลิตรถยนต์และสิ่งอื่นๆ ในสหรัฐฯ ซึ่งในกรณีนั้นพวกเขาจะไม่ต้องจ่ายภาษีนำเข้า
นอกจากนี้ ทำเนียบขาวยังระบุว่า ทรัมป์ได้ลงนามคำสั่ง เพิ่มอัตราการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน จากเดิมที่เก็บอยู่แล้ว 10% ให้เพิ่มขึ้นมาเป็น 20%
อย่างไรก็ตาม ผลพวงการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก อาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานของภาคส่วนสำคัญ เช่น ยานยนต์และวัสดุก่อสร้าง ได้รับผลกระทบ ซึ่งมีความเสี่ยงที่ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในสหรัฐฯ จะปรับตัวสูงขึ้น หากเป็นเช่นนั้น ก็จะกระทบกับความพยายามของรัฐบาลทรัมป์ ที่รับปากจะลดราคาสินค้า และค่าครองชีพ
ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดี คลอเดีย เชนบัม ของเม็กซิโก เปิดเผยว่ารัฐบาลเตรียมแผนสำรองไว้แล้ว หากสหรัฐฯ เดินหน้าเก็บภาษีจริง เช่นเดียวกับ นายกรัฐมนตรี จัสติน ทรูโด ของแคนาดา ที่เตรียมจะตอบโต้อย่างร้ายแรง
ทั้งนี้ประกาศของทรัมป์ ทำให้ตลาดหุ้นร่วงระนาว โดยตลาดหุ้นเอเชียเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เปิดตลาดร่วงทั้งกระดาน ดัชนีนิกเกอิ ของญี่ปุ่น ปรับลดลง 0.67%, ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง เปิดลดลง 1.43%, และดัชนีคอสปี (KOSPI) ของเกาหลีใต้ ร่วงลง 0.39% ความเคลื่อนไหวในตลาดฝั่งเอเชีย เป็นไปตามแนวโน้มขาลงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตั้งแต่เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา