เมื่อวันที่ 6 มี.ค. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ หลายคนเปิดเผยว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กำลังมีแผนเตรียมปิดสถานกงสุลมากกว่าสิบแห่งทั่วโลกภายในฤดูร้อนปีนี้ (มิ.ย.-ก.ย.) โดยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในยุโรปตะวันตก
กระทรวงฯ ยังมีแผนที่จะเลิกจ้างพลเมืองท้องถิ่นจำนวนมากที่ทำงานให้กับสถานทูตหลายร้อยแห่งของกระทรวงฯ โดยพนักงานงานเหล่านี้คิดเป็น 2 ใน 3 ของสถานทูต
นอกจากนี้ กระทรวงฯ กำลังพิจารณาควบรวมสำนักงานซึ่งทำงานในด้านต่าง ๆ เช่น สิทธิมนุษยชน ผู้ลี้ภัย กระบวนการยุติธรรมทางอาญาในระดับโลก ปัญหาสตรี และความพยายามในการปราบปรามการค้ามนุษย์
เจ้าหน้าที่ 3 รายระบุว่า สถานกงสุลสหรัฐฯ ในฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี, สตราสบูร์ก ประเทศฝรั่งเศส, ฮัมบวร์ก ประเทศเยอรมนี, เบลูโอรีซองชี ประเทศบราซิล และปอนตาเดลกาดา ประเทศโปรตุเกส อยู่ในรายชื่อที่อาจถูกสั่งปิด
มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งรายชื่อดังกล่าวกับรัฐสภาแล้ว แม้ว่ารายชื่อดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงได้ก็ตาม
แผนการสั่งปิดดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการลดขนาดหน่วยงานรัฐบาลกลางของประธานาธิบดีทรัมป์และที่ปรึกษา อีลอน มัสก์ รวมถึงปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศโดยยุติหรือจำกัดงบช่วยเหลือองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ
นักวิจารณ์กล่าวว่า การลดบทบาททางการทูตของสหรัฐฯ ที่อาจเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการยุบหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ซึ่งให้ความช่วยเหลือมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ทั่วโลกนั้น มีความเสี่ยงที่จะบ่อนทำลายความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ และสร้างช่องว่างอันตรายให้จีนและรัสเซียเข้ามามีอิทธิพลแทน
รายงานล่าสุดนี้ยังทำให้เกิดความกังวลว่า การปิดสถานกงสุลและสถานทูตจะขัดขวางการทำงานของรัฐบาลกลางส่วนใหญ่ และอาจกระทบต่อความมั่นคงของชาติสหรัฐฯ
สถานทูตเป็นที่อยู่ของเจ้าหน้าที่จากกองทหาร หน่วยข่าวกรอง หน่วยบังคับใช้กฎหมาย สาธารณสุข พาณิชย์ การค้า กระทรวงการคลัง และหน่วยงานอื่น ๆ ซึ่งทั้งหมดจะคอยติดตามความคืบหน้าในประเทศต่าง ๆ และทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เพื่อต่อต้านทุกอย่าง ตั้งแต่การก่อการร้าย ไปจนถึงโรคติดต่อ ไปจนถึงค่าเงินที่ตกต่ำ
แนวโน้มของการตัดงบประมาณในวงกว้างได้สร้างความวิตกกังวลภายในสำนักข่าวกรองกลางแล้ว เจ้าหน้าที่ข่าวกรองลับของสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ทำงานในสถานทูตและสถานกงสุล โดยปลอมตัวเป็นนักการทูต
ดังนั้น การตัดตำแหน่งทางการทูตออกจะทำให้เจ้าหน้าที่ซีไอเอมีทางเลือกน้อยลงในการจัดวางสายลับ
ความพยายามที่จะลดตำแหน่งทางการทูตและเจ้าหน้าที่ต่างประเทศเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายลดงบประมาณปฏิบัติการของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งอาจมากถึง 20%
เรียบเรียงจาก New York Times