กองทัพอากาศอิสราเอลเปิดเผยว่า ได้ยกระดับมาตรการเฝ้าระวังการโจมตีด้วยขีปนาวุธและโดรนจากกลุ่มติดอาวุธฮูตีในประเทศเยเมน ตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 มี.ค ที่ผ่านมา หรือหลังสหรัฐฯ เปิดฉากโจมตีทางอากาศ โดยพบว่าในช่วงข้ามคืนวันที่ 15 มี.ค. เข้าสู่วันที่ 16 มี.ค. มีขีปนาวุธลูกหนึ่งถูกยิงจากประเทศเยเมน และตกในประเทศอียิปต์ ซึ่งกองทัพอิสราเอลกำลังตรวจสอบว่า เป้าหมายของขีปนาวุธลูกนี้คืออิสราเอลหรือไม่
โดยกองทัพอากาศอิสราเอลได้เพิ่มการเฝ้าระวังตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว หลังจากกลุ่มฮูตีประกาศจะกลับมาโจมตีอิสราเอลอีกครั้งเพื่อตอบโต้การขัดขวางการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้กับชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา ระหว่างการหยุดยิงเฟสที่ 1
ส่วนความคืบหน้าปฏิบัติการของกองทัพสหรัฐฯ ที่เปิดฉากโจมตีเป้าหมายกลุ่มฮูตีระลอกใหม่เมื่อวัที่ 15 มี.ค. กระทรวงสาธารณสุขเยเมน ซึ่งบริหารโดยกลุ่มฮูตี ออกมาเปิดเผยว่า การโจมตีของสหรัฐฯ ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 31 ศพ บาดเจ็บอีก 101 คนโดยส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก
ขณะที่กลุ่มฮูตีออกแถลงการณ์ประณามสหรัฐฯ และอังกฤษ ว่า ปฏิบัติการที่เกิดขึ้นคือการรุกรานอันชั่วร้าย โดยมุ่งเป้าหมายไปที่เขตที่อยู่อาศัยในกรุงซานา เมืองหลวงของเยเมน
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอังกฤษยืนยันว่าไม่มีส่วนร่วมในการโจมตีทางอากาศเมื่อวันที่ 15 มี.ค. แต่ให้การสนับสนุนเรื่องการเติมเชื้อเพลิงแก่สหรัฐฯ
ด้าน ไมค์ วอลต์ซ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบขาวสหรัฐฯ เปิดเผยว่า การโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ได้สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อกลุ่มฮูตี โดยแกนนำหลายคนเสียชีวิตจากปฏิบัติการโจมตีดังกล่าว