เป็นที่ทราบกันดีว่า “ค้างคาว” เป็นพาหะและแหล่งโรคของไวรัสโคโรนาหลายสายพันธุ์ แต่การศึกษาวิจัยล่าสุดพบสัญญาณอันตรายจาก “ค้างคาวในประเทศบราซิล” โดยพบว่า ค้างคาวเหล่านี้มีไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
นักวิทยาศาสตร์กำลังพิจารณาภัยคุกคามนี้อย่างจริงจัง และจะดำเนินการทดสอบในห้องแล็บที่ปลอดภัยในไม่ช้านี้ เพื่อดูว่าสายพันธุ์ที่พบอาจแพร่ระบาดสู่มนุษย์เราได้หรือไม่
การค้นพบนี้ถือเป็นเรื่องน่ากังวล เนื่องจากสายพันธุ์ใหม่ชวนให้นึกถึงไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือ MERS (เมอร์ส) ซึ่งเป็นโรคติดต่อที่มีอัตราการเสียชีวิตในมนุษย์สูงถึงเกือบ 35%
นักวิทยาศาสตร์ค้นพบไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เป็นญาติใกล้ชิดของ MERS ขณะทำการทดสอบค้างคาว 16 สายพันธุ์ที่แตกต่างกันในบราซิลเพื่อหาเชื้อก่อโรค
ทีมวิจัยนานาชาติซึ่งนำโดย บรูนา สเตฟานี ซิลเวริโอ จากมหาวิทยาลัยเซาเปาโล ได้ทำการเก็บตัวอย่างจากค้างคาวมากกว่า 400 ตัวอย่าง และระบุไวรัสโคโรนาที่แตกต่างกันได้ 7 ชนิด โดยไวรัสโคโรนาเหล่านี้มีอยู่ในค้างคาวเพียง 2 สายพันธุ์เท่านั้น ได้แก่ ค้างคาวกินแมลง (Molossus molossus) และค้างคาวผลไม้ (Artibeus lituratus)
โดยมีไวรัสเพียงสายพันธุ์เดียวเท่านั้นที่มีประวัติวิวัฒนาการร่วมกับ MERS
จนถึงปัจจุบัน มีการบันทึกไวรัสตระกูล MERS ในค้างคาวในแอฟริกา ยุโรป และตะวันออกกลางเท่านั้น ทำให้นี่เป็นครั้งแรกที่พบไวรัสก่อโรคคล้ายกันในอเมริกาใต้
ทีมวิจัยระบุว่า “สิ่งนี้บ่งชี้ว่า ไวรัสที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกำลังแพร่ระบาดในค้างคาวในอเมริกาใต้และขยายอาณาเขตทางภูมิศาสตร์”
ซิลเวริโอและทีมวิจัยบอกว่า การค้นพบสายพันธุ์ที่คล้ายกับ MERS ในอเมริกาใต้เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของค้างคาวในฐานะแหล่งไวรัสรุ่นใหม่
“ตอนนี้เราไม่แน่ใจว่ามันสามารถติดเชื้อในมนุษย์ได้หรือไม่ แต่เราตรวจพบโปรตีนหนามของไวรัส ซึ่งจับกับเซลล์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพื่อเริ่มการติดเชื้อ ซึ่งบ่งชี้ถึงปฏิสัมพันธ์ที่อาจเกิดขึ้นกับตัวรับที่ใช้โดย MERS ... เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม เรามีแผนที่จะทำการทดลองในฮ่องกงในปีนี้” ซิลเวริโออธิบาย
ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมาซึ่งเกิดการระบาดของโควิด-19 โลกได้ให้ความสำคัญกับภัยคุกคามของไวรัสโคโรนาที่แพร่จากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในป่าสู่มนุษย์มากกว่าที่เคย การค้นพบไวรัสที่แพร่ระบาดในค้างคาวซึ่งเป็นภัยคุกคามในอเมริกาใต้เป็นเรื่องที่น่ากังวล แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าสบายใจเช่นกัน เพราะนักวิทยาศาสตร์สามารถจับตาดูภัยคุกคามนี้ได้อย่างใกล้ชิด
เพราะศัตรูที่เราเห็นหน้าค่าตา น่าหลัวน้อยกว่าศัตรูที่เราไม่เคยรู้จักเลย
อ่านงานวิจัยฉบับเต็ม ที่นี่
เรียบเรียงจาก Science Alert