ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 29 มี.ค. ที่ผ่านมาว่า ตนเองรู้สึกไม่พอใจอย่างมากที่ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน โจมตีความน่าเชื่อถือของ ประธานาธิบดียูเครน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี พร้อมทั้งย้ำว่า การเปลี่ยนตัวผู้นำยูเครนจะทำให้กระบวนการเจรจาต้องใช้เวลานานขึ้นอีก
ทรัมป์ยังเตือนว่า หากยังไม่มีข้อตกลงสันติภาพ โดยพบว่าประธานาธิบดีปูตินเป็นฝ่ายผิด สหรัฐฯ จะดำเนินมาตรการลงโทษเพิ่มเติมต่อเศรษฐกิจรัสเซีย โดยจะกำหนดอัตราภาษีนำเข้าน้ำมัน และสินค้าจากรัสเซียที่ 25%
นอกจากนี้ผู้นำสหรัฐฯยังขู่จะใช้มาตรการ "ภาษีรอง" (Secondary Tariffs) กับประเทศผู้ซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งภาษีในส่วนนี้อาจมีอัตราสูงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ และจะส่งผลกระทบต่ออินเดียและจีน ซึ่งเป็นประเทศผู้ซื้อน้ำมันจากรัสเซียมากที่สุด
ขณะที่ประธานาธิบดีเซเลนสกีให้ความเห็นว่า รัสเซียพยายามทำให้กระบวนการเจรจาเกิดความล่าช้าและยื่นเงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้ เพื่อซื้อเวลาสำหรับการบุกยึดดินแดนยูเครนเพิ่มเติม
โดยในสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ได้บรรลุข้อตกลงคู่ขนานกับทั้งยูเครนและรัสเซียว่าจะมีการหยุดยิงในทะเลดำเพื่อรับประกันความปลอดภัยให้กับเรือขนส่งสินค้า แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะมีการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ให้สัญญากันไว้หรือไม่ เนื่องจากรัสเซียยื่นข้อเรียกร้องที่ยากต่อการยอมรับ
ประธานาธิบดีเซเลนสกี ยังพูดถึงข้อมูลข่าวกรองของกองทัพที่พบว่ารัสเซียกำลังเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดฉากการรุกคืบระลอกใหม่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาถึง โดยเป้าหมายหลักคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือของยูเครน ทั้งภูมิภาคซูมี คาร์คีฟ และซาโปริสเซีย
เช่นเดียวกับผู้นำเหล่าทัพของยูเครนที่เปิดเผยว่าในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมารัสเซียได้ยกระดับการโจมตีเพื่อสร้างความได้เปรียบก่อนจะเริ่มต้นภารกิจเคลื่ื่อนกำลังครั้งใหญ่ในเดือน พ.ค.นี้ และคาดว่าการรุกคืบในรอบนี้จะกินระยะเวลาไปอีก 6 ถึง 9 เดือน หรือตลอดระยะเวลาที่เหลือของปี 2025
โดยหนึ่งในความกังวลของกลุ่มผู้บัญชาการทหารยูเครนคือการสูญเสียภูมิภาคเคิร์สก์ในรัสเซีย ซึ่งจะทำให้กองทัพรัสเซียสามารถจัดสรรกำลังเข้าสู่สมรภูมิทางตะวันออกของยูเครนได้สะดวกขึ้น
ขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 30 มี.ค. ทางการยูเครนรายงายงานว่ารัสเซียได้ส่งโดรน 110 ลำ โจมตีสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงโรงพยาบาลทหารของเมืองคาร์คีฟ ในช่วงค่ำของวันเสาร์เข้าสู่วันอาทิตย์
แม้กองทัพอากาศจะยิงสกัดโดรนเหล่านี้เอาไว้ได้ 65 ลำ แต่ยังมีอีก 35 ลำเล็ดรอดระบบป้องกันเข้าไปสร้างความเสียหาย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน และบาดเจ็บอีก 35 คน