เมื่อวันที่ 8 เม.ย. ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร 4 ฉบับ ซึ่งจะมีผลในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมถ่านหิน สวนทางกระแสโลกที่มองว่าถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่สกปรกที่สุด และมีส่วนสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลภาวะต่อโลก
คำสั่งดังกล่าวจะมีผลอนุญาตให้โรงไฟฟ้าถ่านหินเก่าบางแห่ง ที่เดิมถูกกำหนดให้ต้องปิดตัวลง ยังคงสามารถดำเนินการผลิตไฟฟ้าต่อไปได้
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวอธิบายว่า การตัดสินใจของทรัมป์เป็นการตอบสนองต่อความต้องการพลังงานของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นจากการเติบโตของศูนย์ข้อมูล ปัญญาประดิษฐ์ และรถยนต์ไฟฟ้า
ทรัมป์กล่าวว่า คำสั่งฝ่ายบริหารที่เขาลงนามนั้น “จะตัดทอนกฎระเบียบที่ไม่จำเป็นซึ่งมุ่งเป้าไปที่ถ่านหินที่สะอาดและสวยงาม”
เขากล่าวเสริมว่า “เราจะเร่งดำเนินการเช่าเหมืองถ่านหินบนที่ดินของรัฐบาลกลางโดยเร็ว ปรับปรุงการอนุญาต ยุติอคติของรัฐบาลต่อถ่านหิน และใช้พระราชบัญญัติการผลิตเพื่อการป้องกันประเทศ เพื่อเร่งกระบวนการทำเหมืองถ่านหินในอเมริกา”
สำหรับรายละเอียดคำสั่งทั้ง 4 ฉบับ มีดังนี้
คำสั่งแรก กำหนดให้ทุกหน่วยงานและทุกแผนก “ยุตินโยบายเลือกปฏิบัติต่ออุตสาหกรรมถ่านหินทั้งหมด” รวมทั้งยุติการระงับการเช่าถ่านหินบนที่ดินของรัฐบาลกลาง และเร่งรัดการจัดสรรเงินทุนที่ได้รับอนุญาตทั้งหมดสำหรับโครงการถ่านหิน
คำสั่งที่สอง กำหนดให้ระงับ “นโยบายที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์และไม่สมจริงที่บังคับใช้โดยรัฐบาลของไบเดน” เพื่อปกป้องโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน
คำสั่งที่สาม ส่งเสริม “ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของโครงข่ายไฟฟ้า” โดยให้แน่ใจว่า นโยบายโครงข่ายไฟฟ้าเน้นที่การผลิตพลังงานที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ แทนที่จะเป็นนโยบายที่ “เลือกปฏิบัติต่อแหล่งพลังงานที่ปลอดภัย เช่น ถ่านหินและเชื้อเพลิงฟอสซิลอื่น ๆ”
คำสั่งที่สี่ สั่งการให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการและสอบสวนอย่างจริงจัง เกี่ยวกับนโยบาย “ที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ” ของรัฐฝ่ายซ้ายจัดที่ “เลือกปฏิบัติต่อถ่านหิน”
แนวทางของทรัมป์นั้นตรงกันข้ามกับแนวทางของ โจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดี ซึ่งเมื่อเดือน พ.ค. 2024 ได้ออกกฎเกณฑ์ด้านสภาพอากาศฉบับใหม่ ซึ่งกำหนดให้ต้องลดการปล่อยมลพิษคาร์บอนจากโรงไฟฟ้าถ่านหินลงอย่างมาก
ทรัมป์ซึ่งเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน ได้ให้คำมั่นมาเป็นเวลานานแล้วว่าจะเพิ่มการผลิตถ่านหินเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าและการใช้งานอื่น ๆ
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานมองว่า การเพิ่มขึ้นของถ่านหินภายใต้การนำของทรัมป์นั้นมีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นแค่ชั่วคราว เนื่องจากก๊าซธรรมชาติมีราคาถูกกว่า และมีตลาดที่ยั่งยืนสำหรับพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์
กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมชี้ให้เห็นว่า ถ่านหินกำลังลดลงอย่างรวดเร็วในสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับพลังงานหมุนเวียนซึ่งมีราคาถูกลงเรื่อย ๆ โดยก่อนหน้านี้รัฐบาลทรัมป์ยังคาดการณ์เองด้วยซ้ำว่า ในปี 2025 พลังงาน 93% ที่เพิ่มเข้ามาในโครงข่ายไฟฟ้าของสหรัฐฯ จะมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และแบตเตอรี่
ขณะที่รายงาน Energy Innovation ประจำปี 2023 ระบุว่า ปัจจุบันพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม มีราคาไม่แพง รวมถึงการใช้ถ่านหินยังต้นทุนสูงกว่าการปลดระวางโรงไฟฟ้าถ่านหินและแทนที่ด้วยพลังงานหมุนเวียนเสียอีก
เรียบเรียงจาก The Guardian