สตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษด้านกิจการตะวันออกกลางของรัฐบาลสหรัฐฯ พบหารือกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย ณ กรุงมอสโก เมื่อ 25 เมษายนที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น โดยมีการพูดคุยที่กินเวลานานถึง 3 ชั่วโมง ซึ่ง ยูริ อูชาคอฟ ที่ปรึกษาของผู้นำรัฐบาลรัสเซีย อธิบายว่า เป็นการเจรจาที่สร้างสรรค์และมีประโยชน์อย่างยิ่ง
หนึ่งในประเด็นที่ได้รับการหยิบยกขึ้นมาหารือ ได้แก่ ความเป็นไปได้ในการรื้อฟื้นการเจรจาโดยตรงระหว่างรัสเซียและยูเครน เพื่อหาทางยุติความขัดแย้งในสงครามที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2022
ด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ความพยายามขับเคลื่อนสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น พร้อมเรียกร้องให้มีการหารือระดับสูงระหว่างยูเครนและรัสเซียเพื่อบรรลุข้อตกลงยุติสงคราม
การพบหารือครั้งที่ 4 ในรอบปีของทั้งคู่ ยังมีขึ้นหลังจากประธานาธิบดีปูตินส่งสัญญาณเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงต้นของการสงครามว่า พร้อมที่จะเจรจากับประธานาธิบดีเซเลนสกีของยูเครน ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่า เป็นการตอบสนองต่อข้อเสนอของผู้นำยูเครนที่เรียกร้องให้มีการขยายข้อตกลงหยุดยิง 30 ชั่วโมงในช่วงเทศกาลอีสเตอร์ ออกไปอีก 30 วัน แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการยังไม่มีการตกลงสงบศึกใด ๆ เพิ่มเติม
ก่อนหน้านี้ หลายฝ่ายรายงานว่า ยูเครนอาจต้องยอมสูญพื้นที่ส่วนใหญ่ที่ถูกรัสเซียยึดครอง ภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลงสันติภาพที่เสนอโดยสหรัฐฯ และประธานาธิบดีทรัมป์เองก็เคยแสดงท่าทีสนับสนุนให้รัสเซียครอบครองพื้นที่เหล่านั้นต่อไป รวมถึง คาบสมุทรไครเมีย ซึ่งรัสเซียผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศโดยมิชอบด้วยกฎหมายในปี 2014 แต่ประธานาธิบดีเซเลนสกีปฏิเสธแนวคิดดังกล่าวของสหรัฐฯ มาโดยตลอด
ขณะที่ ล่าสุด ประธานาธิบดีเซเลนสกี มีท่าทีเปิดกว้างมากขึ้น โดยระบุว่าหากมีการตกลงหยุดยิงอย่างสมบูรณ์และไม่มีเงื่อนไข ยูเครนก็พร้อมที่จะหารือในทุกประเด็น รวมถึงเรื่องดินแดน พร้อมกล่าวถึงบทสัมภาษณ์ของทรัมป์ในนิตยสารไทม์สที่ระบุว่า ไครเมียจะยังอยู่กับรัสเซีย โดย เซเลนสกี กล่าวว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน ยูเครนไม่มีศักยภาพทางการทหารเพียงพอที่จะยึดคาบสมุทรไครเมียกลับคืนมา
ทั้งนี้ รัสเซียเปิดฉากรุกรานยูเครนอย่างเต็มรูปแบบในปี 2022 และปัจจุบัน ควบคุมพื้นที่ 20 เปอร์เซ็นต์ของดินแดนยูเครนแล้ว