จากกรณีที่สหรัฐฯ ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน ล่าสุดสำนักข่าว IRNA ของทางการอิหร่านรายงานว่า ประธานาธิบดีอิหร่าน มาซูด เปเซชเคียน กล่าวกับประธานาฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ระหว่างการหารือทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. ว่า “สหรัฐฯ จะต้องได้รับการตอบโต้จากความก้าวร้าวของตัวเอง” ซึ่งถือเป็นสัญญาณว่าอิหร่านเตรียมที่จะตอบโต้ และอาจลากสหรัฐฯ เข้าสู่ความขัดแย้งครั้งใหม่ในตะวันออกกลาง
สื่อทางการอิหร่านยังรายงานด้วยว่า ระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันเดียวกัน เปเซชเคียนระบุว่า การโจมตีที่ตั้งนิวเคลียร์ของอิหร่านโดยสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าวอชิงตันอยู่เบื้องหลังการโจมตีของอิสราเอล โดยสหรัฐฯ ตัดสินใจก้าวเข้าสู่สนามรบ หลังจากเห็นความล้มเหลวของอิสราเอล
ด้าน อับบาส อารักชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน แถลงว่า อิหร่านไม่สามารถกลับสู่โต๊ะเจรจาได้ ตราบใดที่ยังคงถูกโจมตีโดยอิสราเอลและสหรัฐฯ โดยอิหร่านกำลังพิจารณาทางเลือกในการตอบโต้ และจะหันมาพิจารณาแนวทางทางการทูตหลังจากที่ได้ดำเนินการตอบโต้แล้ว
อารักชีเปิดเผยด้วยว่า จะเดินทางไปยังรัสเซีย ซึ่งเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ของอิหร่าน และหารือกับประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน ในวันที่ 23 มิ.ย.
ขณะเดียวกัน รัฐสภาอิหร่านได้ลงมติให้ปิดช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งทางทะเลที่สำคัญ เพื่อตอบโต้การโจมตีของทรัมป์
มติดังกล่าวของรัฐสภาอิหร่านยังไม่ถือว่าเป็นข้อผูกพันทางกฎหมาย เนื่องจากสภาความมั่นคงแห่งชาติสูงสุดของอิหร่าน (SNSC) จะเป็นผู้ตัดสินใจในขั้นสุดท้าย
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวดังกล่าวก็สร้างความกังวลว่า อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูง และก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก
ช่องแคบฮอร์มุซเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ โดยมีน้ำมัน 1 ใน 5 ของการบริโภคทั่วโลกต้องผ่านช่องแคบนี้
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ได้เพิ่มขึ้นกว่า 10% จากกลางเดือนมิ.ย. นับจนถึงวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังอิสราเอลโจมตีที่ตั้งนิวเคลียร์ของอิหร่าน ขณะที่นักวิเคราะห์หลายรายคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันอาจพุ่งขึ้นอีกถึง 5 ดอลลาร์ แม้แต่ก่อนที่รัฐสภาอิหร่านจะลงมติดังกล่าว
ด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้โพสต์บน Truth Social ย้ำถึงความชอบธรรมในการที่สหรัฐฯ โจมตีอิหร่าน ตอบโต้สส.พรรครีพับลิกัน โธมัส แมสซี ที่วิจารณ์ว่า การกระทำดังกล่าว “ขัดต่อรัฐธรรมนูญ”
โดยทรัมป์ระบุว่า เมื่อวานนี้ สหรัฐฯ ประสบความสำเร็จทางทหารอย่างงดงาม และได้ยึดระเบิดจากมือของอิหร่าน ซึ่งพวกเขาจะใช้มันแน่ ถ้าทำได้
นอกจากนี้ ทรัมป์เปรยถึงการเปลี่ยนระบอบการปกครองในอิหร่าน โดยระบุว่า "ถ้าระบอบปัจจุบันของอิหร่านไม่สามารถทำให้อิหร่านกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้ แล้วทำไมถึงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงระบอบ"
ขณะเดียวกัน คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ได้จัดการประชุมฉุกเฉิน เพื่อหารือเกี่ยวกับการโจมตีที่ตั้งนิวเคลียร์ของอิหร่านโดยสหรัฐฯ
ระหว่างการประชุม เอกอัครราชทูตอิหร่านประจำสหประชาชาติ อาเมียร์ ซาอีด อิราวานี ประณามการโจมตีดังกล่าว และกล่าวหาสหรัฐฯ ว่าบิดเบือนสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายนิวเคลียร์ให้กลายเป็น “อาวุธทางการเมือง” ที่ใช้เป็นข้ออ้างในการ “รุกรานและกระทำการที่ผิดกฎหมาย”
ด้านผู้แทนรักษาการของสหรัฐฯ โดโรธี คาเมย์ เชีย ปกป้องการโจมตีดังกล่าว โดยกล่าวว่าอิหร่านขัดขวางการเจรจาและเป็นภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้น พร้อมย้ำว่าอิหร่านไม่สามารถครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ได้
ทั้งนี้ รัสเซีย จีน และปากีสถานได้เสนอให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ รับรองมติที่เรียกร้องให้มีการหยุดยิงในตะวันออกกลางโดยทันทีและไม่มีเงื่อนไข รวมถึงประณามการโจมตีที่ตั้งนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่ไม่ได้ระบุชื่อสหรัฐฯ หรืออิสราเอลโดยตรง
ส่วนความเคลื่อนไหวทางฝั่งอิสราเอล อิสราเอลยังคงเดินหน้าโจมตีอิหร่าน โดยระบุว่าเป็นการโจมตีเป้าหมายทางทหาร
เอยาล ซามีร์ เสนาธิการกองทัพอิสราเอล ระบุว่า กองทัพอิสราเอลจะเพิ่มความเข้มข้นในการโจมตีอิหร่าน หลังจากการโจมตีเป้าหมายทางนิวเคลียร์ของอิหร่านโดยกองทัพสหรัฐฯ
ขณะที่นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู แถลงว่า อิสราเอลใกล้จะบรรลุเป้าหมายในการจัดการภัยคุกคามจากขีปนาวุธและโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านแล้ว พร้อมกับย้ำว่า อิสราเอลจะไม่ดำเนินการเกินกว่าที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ แต่ก็จะไม่หยุดเร็วจนเกินไป เมื่อเป้าหมายบรรลุแล้ว ปฏิบัติการก็จะสิ้นสุด และการต่อสู้จะหยุดลง