2025 เป็นปีที่จะครบรอบ 80 ปีเหตุการณ์เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิของญี่ปุ่นถูกโจมตีด้วยระเบิดนิวเคลียร์ ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 200,000 และสร้างความเสียหายมหาศาล ส่วนผู้รอดชีวิตหลายคนยังคงได้รับผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว
จนถึงปัจจุบัน นี่เป็นเพียงเหตุการณ์เดียวในประวัติศาสตร์โลกที่มีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ในการทำสงคราม แต่ความเป็นจริงก็คือ ณ ต้นปี 2025 ยังมีหัวรบนิวเคลียร์เหลืออยู่ทั่วโลกมากกว่า 12,200 ลูก
และภายใต้สถานการณ์ที่โลกเต็มไปด้วยสงครามและความขัดแย้ง ทั้งเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้, รัสเซีย-ยูเครน และล่าสุดสหรัฐฯ-อิสราเอล-อิหร่าน จึงทำให้เกิดคำถามว่า “จะเกิดอะไรขึ้นหากสงครามนิวเคลียร์ปะทุขึ้นในวันพรุ่งนี้?”
“AsapSCIENCE” ช่องยูทูบชื่อดังที่ของกลุ่มอดีตนักวิทยาศาสตร์ ได้วิเคราะห์วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับระเบิดนิวเคลียร์เอาไว้ เพื่อทำนายโอกาสที่ผู้คนจะรอดชีวิตหากมีการใช้ระเบิดนิวเคลียร์
AsapSCIENCE ระบุว่า ไม่มีวิธีใดที่ชัดเจนในการประมาณผลกระทบของระเบิดนิวเคลียร์ลูกเดียว เนื่องจากขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพอากาศในวันที่ทิ้งระเบิด เวลาของวันที่ทิ้ง ตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเป้าหมาย และการระเบิดบนพื้นดินหรือบนอากาศ
อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้ว การระเบิดของระเบิดนิวเคลียร์มีขั้นตอนที่คาดเดาได้บางขั้นตอนซึ่งอาจส่งผลต่อโอกาสในการเอาชีวิตรอดของคุณ
ทั้งนี้ พลังงานจากระเบิดนิวเคลียร์ประมาณ 35% ถูกปลดปล่อยออกมาในรูปแบบของรังสีความร้อน และเนื่องจากรังสีความร้อนเดินทางด้วยความเร็วประมาณแสง สิ่งแรกที่ผู้คนจะประสบคือแสงวาบและความร้อนที่ทำให้ตาพร่า
แสงวาบนั้นเพียงพอที่จะทำให้ตาบอดชั่วคราว ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นการสูญเสียการมองเห็นชั่วคราวและอาจกินเวลาเพียงไม่กี่นาที
AsapSCIENCE ยกตัวอย่างระเบิดนิวเคลียร์ขนาด 1 เมกะตัน ซึ่งมากกว่าระเบิดที่เมืองฮิโรชิมาถึง 80 เท่า (เมกะตันเป็นวิธีในการเปรียบเทียบพลังงานระเบิด คำว่า “ขนาด” ในที่นี้จึงหมายถึงพลังงานระเบิดที่ปลดปล่อยออกมา โดยระเบิดที่ฮิโรชิมามีขนาด 0.015 เมกะตัน และระเบิดที่นางาซากิมีขนาด 0.021 เมกะตัน)
อย่างไรก็ดี ระเบิดนิวเคลียร์ขนาด 1 เมกะตันมีขนาดเล็กกว่าอาวุธนิวเคลียร์สมัยใหม่หลายรุ่นมาก
สำหรับระเบิดขนาด 1 เมกะตัน AsapSCIENCE ประเมินว่า ผู้คนที่อยู่ห่างออกไปไม่เกิน 21 กิโลเมตร จะสูญเสียการมองเห็นทันทีในช่วงกลางวันที่อากาศแจ่มใส และหากเป็นกลางคืนที่อากาศแจ่มใส ผู้คนที่อยู่ห่างออกไปไม่เกิน 85 กิโลเมตรจะมีอาการตาบอดชั่วคราว
ในส่วนของความร้อน แผลไฟไหม้ระดับ 1 อาจเกิดขึ้นกับผู้คนที่อยู่ในระยะ 11 กิโลเมตรจากจุดที่เกิดการระเบิด ส่วนคนที่อยู่ใกล้กว่า 8 กิโลเมตรอาจเกิดแผลไฟไหม้ระดับ 3 ซึ่งเป็นการเผาไหม้ที่ทำลายและทำให้เนื้อเยื่อผิวหนังพอง โดยแผลไฟไหม้ระดับ 3 ที่ปกคลุมร่างกายมากกว่า 24% อาจทำให้เสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาพยาบาลทันที
แต่ระยะดังกล่าวเกิดการแปรผันได้ ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศเท่านั้น รวมถึงสิ่งที่สวมใส่ด้วย เสื้อผ้าสีขาวอาจสะท้อนพลังงานบางส่วนของการระเบิดได้ ในขณะที่เสื้อผ้าสีเข้มจะดูดซับพลังงานนั้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเหล่านี้ไม่น่าจะสร้างความแตกต่างมากนักในความเป็นจริง
นอกจากนี้ คาดว่าศูนย์กลางจุดที่เกิดระเบิดนิวเคลียร์ขนาด 1 เมกะตันสามารถสร้างอุณหภูมิได้เกือบ 100 ล้านองศาเซลเซียส หรือประมาณ 5 เท่าของอุณหภูมิที่แกนกลางดวงอาทิตย์ ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้ร่างกายมนุษย์กลายเป็นแค่คาร์บอนได้ทันที
แต่สำหรับผู้ที่อยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางของระเบิดเล็กน้อย ยังมีผลกระทบอื่น ๆ ที่ต้องพิจารณา นอกเหนือจากความร้อน การระเบิดของระเบิดนิวเคลียร์ยังผลักอากาศออกไปจากจุดที่เกิดการระเบิด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของความดันอากาศที่สามารถบดขยี้วัตถุและทำลายอาคารได้
ภายในรัศมี 6 กิโลเมตรจากระเบิดขนาด 1 เมกะตัน คลื่นระเบิดจะทำให้เกิดแรงขนาด 180 เมตริกตันบนผนังของอาคาร 2 ชั้นทั้งหมด และเกิดความเร็วลม 255 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนจุดที่อยู่ในรัศมี 1 กิโลเมตร แรงดันสูงสุดจะสูงขึ้น 4 เท่า และความเร็วลมอาจสูงถึง 756 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ในทางเทคนิคแล้ว มนุษย์สามารถทนต่อแรงดันดังกล่าวได้ แต่คนส่วนใหญ่จะเสียชีวิตจากอาคารที่ถล่มลงมา
และหากผู้คนรอดชีวิตจากเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นได้ ก็อาจต้องเผชิญกับพิษจากกัมมันตภาพรังสีจำนวนมาก
ระเบิดนิวเคลียร์ที่ทำลายเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิเป็นการระเบิดจากอากาศ โดยแต่ระเบิดขึ้นเหนือเมืองหลายร้อยเมตร หากการระเบิดเกิดขึ้นที่ระดับพื้นดิน วัสดุบนพื้นผิวอาจได้รับรังสีในปริมาณมากในขณะที่ถูกพัดขึ้นไปในชั้นบรรยากาศ
นอกจากผลกระทบข้างต้นแล้ว ระเบิดนิวเคลียร์ยยังอาจทำให้เกิดความเสียหายทางชีวภาพต่อเนื้อเยื่อของมนุษย์ ซึ่งทำให้เกิดการเสียชีวิต การกลายพันธุ์ของสารพันธุกรรม และก่อมะเร็ง
ไม่เพียงเท่านั้น การศึกษาที่ตีพิมพ์ในปี 2019 ยังเคยจำลองผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับโลกหากเกิดสงครามนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย โดยพบว่า จะทำให้โลกเข้าสู่ฤดูหนาวนิวเคลียร์ (Nuclear Winter) ภายในไม่กี่วัน
ฤดูหนาวนิวเคลียร์คือสภาวะอากาศที่ทำให้เกิดความหนาวเย็นอย่างรุนแรง แสงแดดจะถูกบดบัง เนื่องจากเขม่าควันและสารต่าง ๆ ที่ถูกพัดขึ้นไปในชั้นบรรยากาศ ซึ่งจะส่งผลต่อการสร้างอาหาร และอาจทำให้ผู้คนทั่วโลกเขาสู่ภาวะอดอยาก
งานวิจัยอีกชิ้นระบุด้วยว่า อนุภาคกัมมันตภาพรังสีสามารถเดินทางได้ไกลมาก โดยพบว่าซากคาร์บอนกัมมันตภาพรังสีจากการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ในช่วงสงครามเย็น ได้กระจายไปถึงร่องลึกมาเรียนา (Mariana Trench) ซึ่งเป็นจุดที่ลึกที่สุดของพื้นผิวโลก
ทั้งนี้ ผลกระทบทั้งหมดนี้เป็นเพียงสมมติฐานทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ ไม่ได้ต้องการสร้างความตื่นตระหนก และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า นี่จะเป็นความรู้ที่คุณไม่จำเป็นต้องรู้และไม่จำเป็นต้องใช้
เรียบเรียงจาก Science Alert